ถ้าเกิดเรายอมรับความแก่ ความร่วงโรยของสังขารทำอย่างไรดี

 
jon1977
วันที่  11 เม.ย. 2557
หมายเลข  24705
อ่าน  3,355

ผมต้องขอเท้าความก่อน ว่าผมเป็นเกย์ ผมเป็นคนที่หน้าตาดีมากๆ ถึงขนาดเคยเป็นนายแบบ ปัจจุบันผมอายุสามสิบแปด จากเมื่อก่อน ผมเคยภูมิใจในตัวเอง เพราะเวลาไปไหนมาไหน ใครๆ ก็ให้ความสนใจตลอดเวลา ได้รับทุกอย่างมาจากรูปทรัพย์ จนวันนี้สังสารมันร่วงโรยลงไปทุกวัน ความหล่อ ความดูดี มันหายไปจนถึงขั้นมาเริ่มอ้วน เผละ ผมพยายามอยู่หลายครั้งที่จะปลงกับสังขาร แต่ก็ทำไม่ได้ ยอมรับว่ามันทรมานใจมาก จากสิ่งที่เราเคยมี และเคยเป็น ผมทราบดีว่าหลายๆ คนก็คงจะมาตอบว่าให้ผมปลงสังขาร ยอมรับ เรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ถ้าหากยอมรับแล้ว เราก็ยังไม่มีความสุขกับชีวิตเราจะทำอย่างไง ในเมื่อมันไม่ทางเป็นไปได้เลย ที่เราจะกลับไปหนุ่ม และหล่อเหมือนเดิม ทุกวันนี้ผมกลายเป็นคนที่เป็นทุกข์มาก เพราะเคยใช้หน้าตาทำมาหากิน อย่าบอกนะว่าให้ปลงให้เข้าใจ ผมเข้าใจหมด แต่ว่าพอเอาเข้าจริงๆ มันก็อดจะเปรียบเทียบกับอดีตไม่ได้ อย่าบอกนะว่าต้องยอมรับความจริง เพราะผมกำลังยอมรับอยู่ แต่มันยากเหลือเกินที่จากเคยเป็นคนที่ใครๆ ก็สนใจ กลายเป็นธาตุ อากาศ ที่ไม่มีตัวตน ช่วยแนะนำผมให้พ้นทุกข์ ขอแบบมากกว่ายกคำพระพุทธเจ้ามาบอก เพราะผมศรัธทาและเรียนรู้มานาน เข้าใจหมดแล้วทุกสิ่งอย่าง มีเพียงอย่างเดียวที่ผมไม่สามารถปลงได้ คือ เรื่องสังขาร

ขอบคุณมากครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 11 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความจริงของชีวิตก็ไม่พ้นจาก จิต เจตสิก รูปที่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป แม้แต่ความทุกข์ใจ ที่เกิดขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่จะเกิดขึ้น เพราะ ยังมีกิเลส ไม่สามารถบังคับบัญชาได้เลย เพราะฉะนั้น การจะให้ไม่ทุกข์ใจ โดยการให้ปลง ให้ยอมรับ เป็นไปไม่ได้ เพราะเรากำลังข้ามไปพูดถึงผล คือ การยอมรับ ปลงได้ โดยไม่ได้พูดถึงเหตุ ว่าจะต้องอบรมทำอย่างไร ถึงจะไปถึงจุดนั้นได้ ครับ

ซึ่ง การอบรมปัญญา ที่ถูกต้อง คือ การเข้าใจความจริงที่เกิดแล้ว และ เข้าใจความเป็นอนัตตา ของสภาพธรรม ว่า กิเลส เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา ความทุกข์ใจ เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา เข้าใจความจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม แม้จะยังทำไม่ได้ แต่ ให้รู้ว่าที่ทำไม่ได้ ถูกต้องแล้ว เพราะ เรายังไม่มีปัญญาระดับนั้น

ที่สำคัญ คือ ต้องอาศัยการฟังพระธรรมต่อไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ ค่อยๆ เข้าใจความจริง ว่า กิเลสสะสมมามาก และ ยังจะต้องทุกข์ใจต่อไป แม้พระโสดาบัน ก็ยังทุกข์ใจ หนทาง คือ ฟังพระธรรมในหนทางที่ถูกต้อง อยู่กับความทุกข์ใจด้วยความเข้าใจ ในที่สุด ก็จะไม่ทุกข์ใจอีก แต่ อีกนานแสนนาน เพราะ กิเลส สะสมมามาก ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
thorn
วันที่ 11 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สัพเพ สังขารา อนิจจัง .. สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง...สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา สิ่งใดไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา สิ่งนั้นเป็นอนัตตา...ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 11 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แต่ละคน ทุกชีวิต ถูกความแก่ห้อมล้อมอยู่ทุกขณะ ทุกเวลา ไม่หนีหายไปเลยเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ก็แก่กว่าขณะที่ผ่านๆ มา เพราะฉะนั้น ความแก่นี้ห้อมล้อมอยู่ตลอดเวลา ทุกวินาที ทุกขณะของจิต ไม่พ้นไปอีกเหมือนกัน

ซึ่งจะเห็นได้ว่า แต่ละบุคคล ย่อมถูกความตายครอบงำไว้ หนีไม่พ้น และยังถูกความแก่ห้อมล้อมไว้อีก คือ มีอยู่ด้วยตลอดเวลา ทุกขณะจึงแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมจากส่วนใดก็ตาม ทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง และเพื่อความไม่ประมาทในชีวิต เพราะเหตุว่า ในที่สุดแล้วทุกคนก็จะต้องตาย แต่ก่อนที่จะตาย ซึ่งก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นวันใด เวลาใด นั้น ก็ควรที่จะได้ประโยชน์จากการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ให้มากที่สุด แสวงหาสิ่งที่เป็นสาระให้กับชีวิตให้มากที่สุด ประโยชน์หรือสาระที่ว่านั้น ได้แก่ ความเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริง อันเกิดจากการฟังการศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะต้องสะสมเป็นที่พึ่งต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 11 เม.ย. 2557

ความทุกข์ใจเป็นกิเลส ทำกุศลบ่อยๆ ขณะที่กุศลเกิดก็ไม่ทุกข์ ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ