ทรัพย์สมบัติเป็นกุศลวิบากทางตา
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"ทรัพย์สมบัติเป็นกุศลวิบากทางตา" เป็นคำบรรยายของอาจารย์อรรณพ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยให้ความเข้าใจในประโยคข้างต้นด้วยครับ ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิบาก คือ จิต เจตสิกที่เป็นผลของกรรม คือ ในขณะที่เกิด คือ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และขณะที่ตาย คือ จุติจิต เป็นวิบากจิตที่เป็นผลของกรรม และในชีวิตประจำวัน ที่เป็นวิบาก คือ ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรมที่เป็นวิบาก
วิบาก จึง หมายถึง วิบากจิต ๓๖ ดวง และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เป็นชาติที่เป็นผลของกรรม คือ กุศลวิบากเป็นผลของกุศลกรรม อกุศลวิบากเป็นผลของอกุศลกรรม เช่น ขณะที่เกิด ปฏิสนธิจิต เป็นผลของกรรม ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส เป็นต้น เป็นวิบากจิต ที่เป็นผลของกรรมในชีวิตประจำวัน
จากคำกล่าวที่ว่า ทรัพย์สมบัติเป็นกุศลวิบากทางตา
ความหมาย คือ กุศลวิบากทางตา ก็คือ รูปที่ดี รูปที่ประณีต ซึ่งทรัพย์สมบัติ เช่น ทอง เงิน ก็มีสีที่ประณีต เช่น สีเหลืองทองอร่ามของทอง สีเงิน เป็นต้น ที่สมมติว่าเป็นทรัพย์สมบัติ แต่แท้ที่จริงก็เป็นเพียงเห็นเท่านั้น เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ที่เป็นแต่เพียงธรรม เป็นกุศลวิบากทางตา เท่านั้นครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขณะเห็นเป็นวิบากเป็นผลของกรรม ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นผลของกรรมประเภทใด เพราะถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็ทำให้ได้เห็นสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมก็ทำให้ได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ โดยไม่มีใครทำให้เลย เพราะเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย
คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้ (เตือนใจดีมาก)
"ทุกคนอยากจะได้สิ่งที่ดีทั้งนั้น ทุกคนอยากจะได้สิ่งที่น่าพอใจทั้งนั้น แต่ว่าบางกาลก็ได้ บางกาลก็ไม่ได้ ตามเหตุ คือ อดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้น ในชีวิตของแต่ละคนจะเห็นสิ่งที่น่าพอใจมาก ก็รู้ว่าเป็นผลของกุศล ถ้าเห็นสิ่งที่น่าพอใจน้อย ก็รู้ว่าผลของกุศลต้องน้อย ใช่ไหม เพราะฉะนั้น จึงมีสิ่งที่น่าพอใจทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายน้อย เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลาทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ให้รู้ว่า อดีตกุศลที่ได้กระทำแล้วมีมากหรือมีน้อยอย่างไร แต่กุศลจิตขณะที่เกิดขึ้นในวันหนึ่งๆ รู้ยากไหม ขณะที่สงบจากอกุศล
การเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นผลของกุศลกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว แล้วก็ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็แล้วแต่ว่าจะมีกุศลกรรมอื่นที่จะให้ผล ก็ให้ผลทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งเมื่อเป็นผลที่น่าพอใจ ก็ทำให้เป็นผู้มีรูปสมบัติ มีทรัพย์สมบัติ มีลาภ มียศต่างๆ กันไป ตามกรรมที่ได้กระทำ ซึ่งแต่ละคนก็สามารถที่จะพิจารณาผลในปัจจุบัน แล้วก็รู้เหตุในอดีตว่า เป็นผลของกุศลหรือว่าเป็นผลของอกุศล แต่ว่าผลของกุศลที่ได้รับ จะเป็นเหตุให้เกิดอกุศลจิตหรือกุศลจิต
นี่เป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณามาก เพราะเหตุว่าทุกท่านทราบว่า กุศลเป็นเหตุที่จะให้เกิดวิบากที่เป็นผล และผลของกุศลก็คือ อิฏฐารมณ์ต่างๆ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้รับอิฏฐารมณ์ต่างๆ แล้ว ก็ควรจะพิจารณาต่อไปอีกว่า จิตที่เกิดต่อจากนั้นเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล เพราะเหตุว่าผลของกุศลเป็นที่ต้องการ เช่น รูปสมบัติ ทุกคนต้องพอใจที่จะเห็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลินยินดีทางตา เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะพิจารณาว่า ยังมีความพอใจในผลของกุศลที่เป็นรูปสมบัติมากไหม หรือว่าบางครั้งบางคราวก็พิจารณาว่า เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน และถ้าจะให้ละเอียดจริงๆ ก็คือ ปรากฏเพียงขณะที่กระทบกับจักขุปสาทเท่านั้น แต่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ในวันหนึ่งๆ จะเป็นเครื่องสอบ จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ความติด ความเหนียวแน่นในสิ่งที่น่าพอใจ เป็นสิ่งที่ยากที่จะละได้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่แต่เฉพาะในรูปสมบัติเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นในเสื้อผ้า ในอาหาร ในของใช้ ในเครื่องใช้ เครื่องอุปโภคต่างๆ ความติดในอิฏฐารมณ์ซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมมาก มากทีเดียว"
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กุศลวิบากทางตา คือ ขณะนี้ ที่เห็นสีที่ดี เป็นทรัพย์สมบัติ แต่ไม่ใช่เรา ค่ะ
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
ทรัพย์สมบัติเป็นรูปที่เกิดจากสมุฏฐานของอุตุหรือครับ? ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ