ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๓๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๓๙
การชำระจิตให้บริสุทธิ์ ก็ต้องมีปัญญา ที่เริ่มจากการฟังพระธรรม และไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเหตุว่าสะสมสิ่งที่ทำให้จิตใจไม่บริสุทธิ์คืออกุศลมามากมาย
สังขาร (สภาพธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง) คือ เดี๋ยวนี้ เพราะเกิดขึ้นจึงมี ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี
เป็นโทษอย่างยิ่ง สำหรับความเห็นผิด
การศึกษาธรรมก็คือศึกษาให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีว่า แท้ที่จริงสิ่งที่มีจริงๆ นั้นความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร ว่างเปล่าจากความเป็นอะไรๆ ทั้งนั้น เพราะว่าเป็นแต่เพียงธาตุที่เกิดปรากฏแล้วก็หมดไป จะเป็นอะไรได้ นอกจากเป็นธาตุแต่ละธาตุซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป
กว่าจะเข้าใจธาตุที่มีจริงๆ มั่นคงขึ้น และสามารถสละความที่เคยเข้าใจผิดและยึดถือธาตุนั้นๆ ว่า เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงและรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ความจริงเป็นอย่างนั้น
ต้องรู้ตามความเป็นจริง เมื่อเป็นธาตุเลว แล้วก็หมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับธาตุเลวๆ ทั้งนั้นเลย เป็นไปด้วยโลภะ โทสะ เป็นต้น ไม่พ้นไปจากธาตุเลว เมื่อเป็นอกุศล แต่วันหนึ่งๆ ก็มีอย่างอื่นด้วย ไม่ใช่มีแต่อกุศลเท่านั้น
อวิชชาที่สะสมมามีมากหรือมีน้อย? ก็เป็นของธรรมดา ถ้ารู้จักตัวเองว่า อวิชชาต้องมีมาก และขณะนี้กำลังสะสมวิชชา เพื่อจะให้มีกำลังที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่ถ้าไม่มีการฟัง ไม่มีการเข้าใจลักษณะของธรรม ก็ไม่มีวิชชาที่จะละอวิชชา ความไม่รู้
ในการรบ ย่อมจะต้องรู้จักยุทธวิธีของศัตรู ถึงจะชนะได้ ถ้าไม่รู้จักยุทธวิธีของศัตรู ก็ชนะไม่ได้ นี่ในเรื่องของการรบ คือ ถ้าไม่รู้จักว่า ศัตรูมีวิธีอะไรบ้าง ก็อาจจะถูกศัตรูหลอกลวง เพราะเหตุว่าไม่รู้จักกลยุทธ์ หรือยุทธวิธีของศัตรูในทางธรรมก็เช่นเดียวกัน ไม่ต่างกันเลย ถ้าไม่รู้จักศัตรู ก็ไม่สามารถจะชนะศัตรูได้ ในทางโลก ศัตรูคือคนอื่น ในทางธรรม ศัตรูคืออกุศลที่เกิดกับจิต
สำหรับศัตรู คือ อกุศลที่เกิดกับจิต ทำให้จิตเป็นโรค เน่า เสีย ขณะใดที่อกุศลธรรมเกิด เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะพิจารณาว่า อยากจะชนะศัตรูไหม หรืออยากจะปล่อยให้ศัตรูมีกำลังไปเรื่อยๆ อย่างศัตรูตัวใหญ่ ที่เป็นต้นเหตุ ก็มี ๓ ซึ่งทุกคนได้ยินชื่อบ่อยๆ ไม่มีใครลืมเลย คือ โลภะ โทสะ โมหะ และใน ๓ อย่างนี้ อกุศลธรรมที่ขาดไม่ได้เลยเวลาที่ศัตรูมาก็คือ โมหะ ความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ทางเดียวที่จะละคลายโมหะได้ คือ อบรมสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับโมหะ คือ ปัญญาให้เกิดขึ้น รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้ว ถ้ายังมีความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมอยู่ แล้วจะไม่ให้มีโมหะ ไม่ให้มีโลภะ เป็นไปไม่ได้ หรือจะไม่มีโมหะ ไม่ให้มีโทสะ ก็เป็นไปไม่ได้
ต้องรู้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องยากและไม่ทั่วไปกับทุกคน ถ้าเขาไม่เคยสะสมบุญไว้แต่ก่อน ไม่มีโอกาสที่จะฟัง หรือฟังแล้วก็ไม่สนใจ หรือฟังแล้วก็ยังไปอย่างอื่นอีกที่คลาดเคลื่อน
คนหลงผิดกันมากมาย ทีนี้จะทำอย่างไร? มีทางเดียว คือ ช่วยให้ได้ศึกษา หัวใจของพระพุทธศาสนาคือต้องศึกษา และช่วยกันให้ศึกษา เพราะฉะนั้น เราไม่ไปคะยั้นคะยอใคร เราตั้งต้นที่ตัวเรา และทุกคนศึกษา ตั้งต้นที่ตัวเอง จะมีคนศึกษาอีกมาก
ทุกท่านได้เห็นชีวิตตามความเป็นจริงจากชีวิตของท่านเอง ในชาติที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม แล้วได้เข้าใจด้วย แต่ชีวิตต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย บางครั้งอาจจะมีสุข มีทุกข์ มีอุปสรรค มีเหตุการณ์ในชีวิตแต่ละชาติก็ไม่ซ้ำกัน แต่ต้องมีการฟัง ต้องมีการระลึกถึงพระธรรม และเป็นผู้อยู่ในธรรม คือ ประพฤติธรรมด้วย
การเกิดในนรก ในอบายภูมิ ไม่มีท่านผู้ใดต้องการแน่ ถ้าไม่ต้องการผลจริงๆ มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องละเว้นเหตุที่จะให้เกิดในอบายภูมิ
การเกิดเป็นมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากในเรื่องที่สามารถจะเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้นได้ ถ้าเป็นการเกิดเป็นดิรัจฉาน ซึ่งท่านก็มองเห็นอยู่ เป็นผลของอกุศลกรรม ไม่สามารถที่จะเจริญยิ่งขึ้นในพระธรรมวินัย แม้ว่าจะไม่ต้องทรมานอย่างสาหัสเหมือนอย่างในนรก
ชาวนาผู้หนึ่ง เสียใจที่นาของตนถูกน้ำท่วมเสียหายมากมีความเศร้าโศกเสียใจพระผู้มีพระภาคทรงเล็งเห็นอุปนิสสัยของการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยสาวกของชาวนาท่านนั้น เพราะฉะนั้นก็ได้เสด็จไปโปรด ทรงแสดงธรรมให้ชาวนานั้นคลายความโศกเศร้าและบรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลเป็นชีวิตจริงๆ ในขณะนั้น
สำหรับเรื่องของการเกิดย่อมเป็นไปตามกรรม แล้วแต่ว่ากรรมใดจะทำให้ปฏิสนธิ ทราบไหม ว่าการเกิดในชาตินี้เป็นผลของทานหรือว่าเป็นผลของศีล หรือว่าเป็นผลของการเจริญภาวนาอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ทำให้ปฏิสนธิเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ ในชาตินี้ ทราบไม่ได้ แล้วเมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว สุข ทุกข์ ก็ยังต่างกันหรือแม้สัตว์ดิรัจฉานก็ยังต่างกันไปตั้งแต่รูปร่างลักษณะ มนุษย์มีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณต่างกันตามความวิจิตรของกรรม ฉันใด สัตว์แต่ละตัว แต่ละชนิด แต่ละประเภท ถ้าพิจารณาโดยละเอียด ก็จะเห็นความต่างกันที่วิจิตรตามกรรมแม้สุข ทุกข์ของมนุษย์ แม้สุข ทุกข์ของสัตว์ดิรัจฉานก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยที่ได้กระทำแล้ว
สภาพธรรมทั้งหลายที่จะปรากฏตามความเป็นจริงได้ ต้องปรากฏแก่ผู้ที่อบรมเจริญสติและปัญญา และความเป็นสัตว์ บุคคล จึงจะค่อยๆ ลดน้อยลงจากสภาพธรรมที่ปรากฏเป็นปกติในชีวิตประจำวัน นี่เอง พระธรรมมีประโยชน์ที่จะน้อมพิจารณาถึงสภาพจิตใจที่แท้จริงของท่านว่าสมควรที่จะละสิ่งที่สะสมมาที่เป็นอกุศล เช่น ความมักโกรธ ความผูกโกรธ เพราะบางท่านเข้าใจว่าดี สมควรโกรธ น่าโกรธ แต่แท้ที่จริงแล้ว อกุศลธรรมทั้งหมดเป็นสิ่งที่ควรละ ไม่ใช่เป็นสภาพธรรมที่ควรเจริญ หรือควรสะสมให้มากขึ้น มายา คือ ความไม่จริง ท่านที่เป็นผู้ที่ไม่ประกอบด้วยกุศลธรรมอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ใคร่ที่จะให้บุคคลอื่นเห็นว่า ท่านเป็นผู้มีลักษณะอย่างนั้น และสรรเสริญในลักษณะอย่างนั้น ซึ่งก็มิใช่ความจริง เพราะฉะนั้น ก็เป็นมายา
โลกมืดมิด เพราะความไม่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริง จึงทำบาปมากมาย แต่ถ้าได้รู้ความจริง มีปัญญาแล้ว จะไม่ทำในสิ่งที่ชั่ว น่ารัก เพราะกุศลจิต เกิด แต่ถ้าอกุศลจิต เกิดแล้ว จะไม่น่ารักเลย บูชาพระรัตนตรัย ด้วยการเป็นคนดี พระบารมีทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมา เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ให้ได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ละชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๓๘ วันสงกรานต์
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม แบ่งปันด้วย ครับ
@ บูชาด้วยใจ ด้วยการฟังพระธรรม ขณะที่เข้าใจพระธรรม ก็เป็นบูชาด้วยใจ
@ แม้ได้ฟังธรรมแล้ว ประพฤติสิ่งที่สมควรเป็นประโยชน์หรือเปล่า เพราะ ประพฤติ
ในสิ่งที่เป็นอกุศล ไม่มีทางถึงพระนิพพาน และ ละเลยกุศลเพียงเล็กน้อย ก็เป็นผู้ที่
ประมาทละเลย ก็ไม่ถึงพระนิพพานเช่นกัน
@ ขณะที่กำลังบูชาพระพุทธเจ้าด้วยอามิส ดอกไม้ ธูปเทียน (โคมเทียน) ที่ประณีต
สวยงามขณะนั้นจิตที่ดีงามเกิดขึ้น ที่มีโสภณเจตสิก มี ศรัทธา เป็นต้น ขณะนั้นเป็น
การบูชาด้วยใจแล้ว เพราะ ใจเป็นกุศล พร้อมๆ กับการบูชาด้วยกาย และ วาจา
@ การเป็นคนดี เป็นการบูชาคุณของพระพุทธเจ้า บูชาคุณของบิดา มารดา และ บู
ชาคุณ มิตรสหายด้วย
@ ที่เป็นอย่างนี้ทุกท่านจะต้องทราบว่า เรื่องของการคบหาสมาคม เป็นสี่งสำคัญ
เป็นสี่งแวดล้อม เป็นปัจจัยที่เป็นอุปนิสสัย คือเป็นปัจจัยที่มีกำลัง ถ้าขาดการ
คบค้าสมาคมกับพระธรรม คือขาดการฟังบ่อยๆ หรือขาดการอ่าน หรือขาดการ
สนทนาธรรมในขณะนั้น ชีวิตประจำวันทุกวันนี้ วันทั้งวัน โอกาสของกิเลส มี
มากอยู่แล้วเพราะฉะนั้นการที่จะได้ฟังพระธรรมหรือพิจารณาธรรม หรือ สนทนาธรรม
เป็นแต่เพียงโอกาสที่สั้นๆ และเล็กน้อยมาก ที่ขณะนั้นอกุศลไม่มีกำลังพอที่จะให้ไม่
ฟัง แต่เวลาที่เกิดการไม่ฟัง หรือว่าความสนใจที่น้อยลง อาจจะเห็นได้ว่าขณะ
นั้น เป็นการเปิดช่องให้กิเลสซึ่งมีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ค่อยเพี่มโอกาสที่จะมี
กำลังขึ้นอีก จากการไม่ฟัง จากการไม่พิจารณาธรรม จากการไม่สนทนา
ธรรม เพราะว่า อีกท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่เรียนมาด้วยกัน ฟังมาด้วยกัน
สนทนาธรรมมาด้วยกัน แต่ว่าผู้นั้นยังเป็นผู้ที่ยังคงอ่านพระธรรม เป็นประจำ และ
ยังสนทนาธรรมเป็นประจำ เพราะฉะนั้นท่านผู้นั้น ท่านก็กล่าวว่าความสนใจใน
พระธรรมของท่าน เพี่มมั่นคงขึ้นวันหนึ่งๆ บังคับความคิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้า
จะคบคนที่จะทำให้กุศลวิตกเกิด ก็จะเป็น ประโยชน์กว่าการที่ ไม่รู้ว่าใครเป็น
ใคร แล้วก็ไปคบหาสมาคมกับคนที่ทำให้อกุศลเกิดมากๆ
@ โลก คือ สังขารธรรม ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก รูป ที่กำลังเกิดดับสืบต่ออยู่
ในขณะนี้ซึ่งก็ไม่ใช่บ้านเรือน แต่เป็นร่างกายนี้ที่ถูกชราและมรณะเผา การให้ทาน
จึงเป็นประโยชน์ เป็นการนำออกด้วยดียามบุคคลนั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว โลก
ไม่เพียงแต่ถูกชราและมรณะเผาเท่านั้น ยังถูก ราคะ โทสะ โมหะเผาอยู่ในชีวิต
ประจำวัน การฟังธรรมเป็นเหตุให้กุศลธรรมเจริญขึ้น เช่น ในขณะนี้ที่ฟังธรรมอยู่
เริ่มนำกุศลธรรมออกดีแล้ว นำความรู้ออกจากความไม่รู้ซึ่งถูกเผาอยู่ทุกขณะ
@ สำหรับผู้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่
ประมาท พึงเป็นผู้ประพฤติธรรม ตั้งอยู่ในธรรมอันงาม เพราะภูมิมนุษย์ เป็น
ภูมิที่เอื้ออำนวยให้สามารถเจริญกุศลได้ทุกๆ ประการ ทั้งในเรื่องของการให้ทาน
รักษาศีล การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น การอ่อนน้อมถ่อมตน การฟังพระธรรมอบรม
เจริญปัญญาเป็นต้น เมื่อมีโอกาสแล้ว ก็ไม่ควรที่จะปล่อยโอกาสนั้นให้ผ่านเลย
ไป และประการที่สำคัญที่สุด การที่จะไม่ประมาทจริงๆ คือ เห็นประโยชน์ของการ
เข้าใจพระธรรม
@ ได้ยินได้ฟังว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง เห็นมีจริง สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริง ได้ยิน
มีจริง เสียงก็มีจริง จิตที่คิดก็มีจริง ทุกอย่างมีจริงเมื่อปรากฏ แต่ก็ลืมทุกที ลืมว่า
ขณะนี้ สิ่งที่มีขณะนี้เป็นธรรมะ เห็นขณะนี้เป็นธรรมะ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็น
ธรรมะ ไม่มีใครทำเห็น ทำได้ยิน ให้เกิดขึ้นได้เพราะสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏเกิดขึ้น
เพราะเหตุปัจจัย ได้ยินขณะนี้เป็นธรรมะ ลืมอีกแล้ว เวลาได้ยินเสียง เสียงอยู่ที่ไหน
จริงๆ แล้วเสียง กระทบโสตปสาทรูป จิตได้ยินเกิดที่โสตปสาทรูปแล้วดับไป จิตเกิด
ต้องอาศัยรูปเกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ไม่มีเราเห็น ไม่มีเราได้ยิน มีแต่ธรรมะที่เกิดขึ้น
และดับไป ขณะนี้ลืมอะไรหรือเปล่า
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
...ลืมแน่ๆ
เพราะแม้แต่ "สิ่งที่ปรากฏ" เดี๋ยวนี้!!! แท้ๆ
ก็ยังลืม ที่จะเข้าใจ....
.........
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เป็นลาภอันประเสริฐยิ่ง
ที่มีโอกาสได้รับรสพระธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์
โดยความอุปการะเกื้อกูลของ ชาว มศพ. ทุกท่าน
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ