กิริยาชวนจิตของพระอรหันต์ มีอารมณ์ที่เป็นปริกัปได้หรือไม่ ?

 
hankout
วันที่  21 เม.ย. 2557
หมายเลข  24740
อ่าน  2,548

กิริยาชวนจิตของพระอรหันต์ มีอารมณ์ที่เป็นปริกัปได้หรือไม่?

เช่น ในคราวที่พระอรหันต์เห็นอัตตภาพเปรต แล้วทำความยิ้มแย้มให้เกิดขึ้น เพราะได้พิจารณาว่าเราได้พ้นแล้วจากอัตตภาพอย่างนั้น จักขุวิญญาณของท่านน่าจะเป็นอกุศลวิบากมีอารมณ์เป็นอนิฏฐารมณ์โดยสภาวะ แต่ที่สงสัยคือ กิริยาชวนจิตที่สหรคตด้วยโสมนัสเวทนาที่ทำความยิ้มแย้มให้ปรากฏ มีอารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์โดยสภาวะหรือโดยปริกัป? ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเหตุใด?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อารมณ์ที่เป็นอิฎฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ดี เช่น รูปที่สวยประณีต กลิ่นหอม และ อนิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ไม่ดี เช่น กลิ่นเหม็น ทั้งสองอารมณ์นี้ สามารถเป็นอารมณ์ของ กุศลจิต อกุศลจิต และ กิริยาจิตของพระอรหันต์ก้ได้ ครับ

ซึ่ง โดยมากของปุถุชน เมือ่กระทบอารมณ์ที่ไม่ดี เช่น เห็น เปรต ที่รูปร่างน่ากลัว ก็เกิดอกุสลจิต เช่น โทสะ นี่คือ โดยมากของปุถุชนที่ยังไม่ได้ดับกิเลส และ มีกิเลสมาก ก็เป็นธรรมดาที่รู้อารมณ์ที่ไม่ด่ีจะเกิด อกุศล แต่ สำหรับพระอรหันต์แล้ว ดับกิเลสหมดสิ้น ท่านจะเกิดจิตเพียงสองชาติ คือ วิบากจิตและกิริยาจิต เพราะฉะนั้น พระอรหันต์แม้รู้อารมณ์ที่ไม่ดี ก็ไม่เกิด อกุศลจิตเลย แต่เป็นกิริยาจิต เพราะ ท่านไม่มีกิเลสที่จะทำให้เกิดอกุศล ไม่เกิดโทสะ เป็นต้น ดังนั้น แม้พระอรหันต์เห็นเปรต เห็นรูปที่ไม่ดี ก็ไม่เกิด อกุศล แต่เป็นกิริยาจิต และ รูปที่ไม่ดีนั้นก็เป็นอารมณ์โดยสภาวะลักษณะนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวสรุปได้ว่า พระอรหันต์ แม้จะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ในสภาพธรรมนั้นจริงๆ ที่ไม่ดี แม้อย่างนั้น ก็ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดอกุศล เพราะ ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 21 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระอรหันต์ คือ ผู้ที่ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่มีเหลือ เมื่อดับกิเลสได้ทั้งหมดแล้ว ชีวิตของท่านก็ดำเนินไปอย่างผู้ไม่มีกิเลส ซึ่งจะแตกต่างไปจากผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่อย่างสิ้นเชิง เช่น ผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ติดข้องยินดีพอใจในสิ่งต่างๆ มีการกระทำและการพูดที่เป็นไปด้วยอำนาจของกิเลส มีการกระทำที่เป็นการประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่น มีการพูดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เป็นต้น ตามการสะสมของแต่ละบุคคล แต่สำหรับพระอรหันต์แล้ว ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย

ในสาวัชชสูตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า พระอรหันต์ เป็นผู้ไม่มีโทษ หมายความว่า ความประพฤติทางกาย ทางวาจา และทางใจ ของพระอรหันต์ ไม่เป็นไปกับด้วยโทษเลย เพราะไม่เป็นไปกับด้วยกิเลสใดๆ ทั้งสิ้น พระอรหันต์ ไม่มีจิตเจตสิกที่เป็นไปกับด้วยกิเลสเกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ยังมีจิตประเภทอื่นๆ เกิดขึ้นซึ่งโดยปกติของพระอรหันต์จะมีจิตเพียง ๒ ชาติ (ชาติ คือ การเกิดขึ้นของจิต) ได้แก่ วิบากชาติ (จิตเกิดขึ้นเป็นวิบากรับผลของกรรม เช่น ขณะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส เป็นต้น จิตเห็นไม่ว่าจะเป็นของใคร ก็เป็นเพียงวิบากจิตที่เกิดขึ้นทำกิจเห็นแล้วก็ดับไป เหมือนกัน) กับกิริยาชาติ (จิตเกิดขึ้นเป็นกิริยา คือ ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่วิบาก) จนกว่าจะดับขันธปรินิพพาน ซึ่งเมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และ รูปเกิดขึ้นอีกเลย เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง

ดังนั้น สำหรับพระอรหันต์ ขณะที่เห็นเปรต เป็นอกุศลวิบาก เพราะเป็นการได้เห็นในสิ่งที่ไม่น่าพอใจ แต่พระอรหันต์ ไม่มีทางที่จะไปสำคัญหมายว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าพอใจ อารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์ก็ต้องเป็นอนิฏฐารมณ์ ความจริงเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น แต่หลังจากเห็นแล้ว ไม่มีอกุศลใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 21 เม.ย. 2557

พระอรหันต์หมดกิเลส ไม่เป็นอกุศลจิตเลย ไม่ว่ากรณีใด ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
hankout
วันที่ 22 เม.ย. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 16 มิ.ย. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ