ปฏิสนธิจิตประมวลกรรมที่จะต้องพบทั้งหมด

 
papon
วันที่  23 เม.ย. 2557
หมายเลข  24758
อ่าน  2,218

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

"ปฏิสนธิจิตประมวลกรรมที่จะต้องพบทั้งหมด" คำบรรยายของท่านอาจารย์ (ถ้าผิดต้องขออภัยด้วยครับ) ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยกรุณาให้อรรถาธิบายด้วยครับ ขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตประมวลคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่อธิบายได้ดีแล้ว ดังนี้

อ.สุจินต์ การสะสมของจิต เมื่อยังคงอยู่ ก็เป็นเหตุให้แต่ละบุคคล มีความหลากหลาย และแตกต่างกันไปมากมาย เพราะว่า แม้ปฏิสนธิจิตเพียง ๑ ขณะ (ที่เกิดขึ้นเป็นจิตขณะะแรกของชีวิต) จะเป็นผลของกรรมหนึ่งกรรมใด ก็แล้วแต่ว่าจะเกิดเป็นอะไร. เมื่อ วิบากจิต คือ ปฏิสนธิจิต เป็นจิตขณะแรก ของชาตินี้ ปฏิสนธิจิตนั้นเอง ที่ประมวลการสะสมของจิต มาทั้งหมด การสะสมของจิต จึงไม่ได้หายไปไหนเลย.เมื่อโกรธใครสักขณะหนึ่ง แม้ว่า จะดับไปแล้วความโกรธ ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็สะสม สืบต่อ อยู่ในจิต

ด้วยเหตุนี้ จิต ที่เป็นขณะปฏิสนธิจิตนี้ จึงมีทั้ง "อาสยานุสยะ" คือ การสะสมของจิตทั้งฝ่ายที่เป็นกุศลธรรม และ ฝ่ายที่เป็นอกุศลธรรม

สำหรับฝ่ายอกุศลธรรม ใช้คำบัญญัติว่า "อนุสัย" แต่ถ้าเป็นคำว่า "อาสยะ" หมายถึง การสะสมของจิต ทั้งฝ่ายกุศล และ อกุศล.

เพราะฉะนั้น ใครจะรู้ว่า ปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นจิตขณะแรกที่เกิดขึ้นนั้นเมื่อดับไปแล้วจะ เกิดอะไรขึ้นในชีวิต ที่จะเป็นเหตุปัจจัย ให้ชีวิตเป็นไปตั้งแต่เกิด จนตาย

เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะแม้ขณะนี้ ที่เคยเข้าใจว่า เป็นเรา ที่ฉลาด หรือมีอกุศลมาก มีโทสะมาก ริษยามาก หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งหมดนั้น คือ ธรรม ที่ประมวลสะสมมาแล้ว ในชาติก่อนๆ ซึ่งไม่ได้หายไปไหนเลย. จิต เป็นนามธรรม และเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปก็สะสมอยู่ในจิต ที่เป็นนามธรรมนี้แหละ.


สุ. ถ้าพูดถึงจิต เราจะไม่พูดถึงเจตสิกและรูป เพื่อที่จะได้เข้าใจจิตชัดเจน จิตเป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นนามธรรม หรือนามธาตุเกิดขึ้นแล้วดับ แต่ว่าตัวจิตที่เกิดถ้าไม่ใช่จุติจิตของพระอรหันต์แล้วก็เป็นอนันตรปัจจัย หมายความว่าเมื่อจิตนี้ดับไปแล้วเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะมีจิตหนึ่งขณะเท่านั้นเองที่เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็เกิด แล้วก็ดับไปสืบต่ออยู่เรื่อยๆ

เพราะฉะนั้นที่เรากล่าวว่าเป็นบุคคลนี้ ก็เพราะเหตุว่ามีปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับไปเป็นภวังคจิต แล้วก็แล้วแต่ว่าจิตประเภทไหนจะมีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นวิถีจิต แล้วก็ไม่ใช่วิถีจิตสลับอยู่เรื่อยๆ โดยที่ไม่กล่าวว่าเป็นใคร แต่ว่าต้องเป็นจิตที่สะสมทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพภูมินี้ ในปฏิสนธิจิตประมวลทุกอย่าง กรรมและกิเลสและกุศลใดๆ ที่ได้กระทำมาแล้วทั้งหมด ไม่ได้สูญหายไปเลย อยู่ที่จิต ซึ่งเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้นเรามองไม่เห็นเลย ถ้าเราจะมองเห็นสีสักสีหนึ่ง น้ำใสๆ เราก็อาจจะบอกได้ว่าใสมาก หรือว่าค่อยๆ ขุ่นลง หรือว่าขุ่นมาก นั่นคือรูปธรรม แต่จิตไม่มีสิ่งใด ที่จะเหมือนกับรูปเลย แต่ว่าจิต ๑ ขณะที่ดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบ ต่อ เมื่อเกิดสืบต่อก็หมายความว่ามีทุกอย่างที่จิตขณะที่ดับไปนั้นมี เพราะว่าสืบต่อมาถึง จิตขณะต่อไป นี่คือตั้งแต่ปฏิสนธิจิตจนกระทั่งถึงจุติจิต คือ จิตขณะสุดท้าย แต่ว่าจิตขณะสุดท้ายก็เป็นอนันตรปัจจัย เพราะเหตุว่าไม่ใช่จุติจิตของพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นก็เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อ ไม่พูดถึงชื่อ ไม่พูดถึงรูป พูดถึงเฉพาะจิต ซึ่งเกิดดับสืบต่อมานานแสนนานเกินแสนโกฏิกัปป์ จนกระทั่งถึงขณะนี้และก็ขณะต่อไปด้วย


เรื่องของปฏิสนธินี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเหตุว่า เป็นการประมวลกรรมเท่าที่สามารถจะเกิดได้ในกาลที่ปฏิสนธิ เช่น การเกิดในกาลสมบัติกับการเกิดในกาลวิบัติ การเกิดในกาลสมบัติก็ต้องประมวลกรรมที่จะทำให้ได้รับผลในกาลสมบัตินั้น หรือว่าถ้าเป็นในกาลวิบัติ ก็จะประมวลกรรมที่จะทำให้ได้รับผลในยุคที่เป็นกาลวิบัติ ไม่มีใครสามารถที่จะฝืนได้ เพราะเหตุว่ากาลก็ดีหรือต่อไปจะมีคำภาษาบาลี เช่น อุปธิก็ดี หรือ ปโยคะก็ดีนั้นเป็นฐานะของวิบาก ส่วนกรรมเป็นเหตุที่จะให้เกิดวิบากนี่ก็เป็นเรื่องละเอียด ที่แสดงให้เห็นว่า ชีวิตของแต่ละบุคคลต่างกันเพราะปฏิสนธิจิต ผลของอกุศลกรรมทำให้เกิดในอบายภูมิ ถ้าจะดูในภูมิของสัตว์ดิรัจฉาน จะเห็นได้ว่า ชีวิตของช้างก็ต้องอยู่อย่างช้าง ชีวิตของนกก็ต้องอยู่อย่างนก ชีวิตของปลาก็ต้องอยู่อย่างปลา ชีวิตของเสือ สัตว์ร้าย ก็ต้องอยู่อย่างสัตว์ร้าย เพราะเหตุว่าปฏิสนธิด้วยอกุศลวิบาก ฉันใด แล้วก็ต่างกันไปตามการสะสมของจิต เพราะฉะนั้น ถ้าคิดถึงมนุษย์แต่ละคน แทนที่จะคิดถึงช้าง ถึงนก ถึงปลา แต่ละคนก็จำแนกออกไปให้ละเอียดกว่านั้นอีก ก็จะเห็นได้ว่าปฏิสนธิของแต่ละบุคคลซึ่งเป็นผลของกรรมซึ่งต่างกัน จะต่างกันโดยทานบ้าง โดยศีลบ้าง โดยภาวนาบ้างก็ตาม โดยอธิปติ หรือว่าโดยกำลังต่างๆ บ้างก็ตาม ก็ทำให้ชีวิตของแต่ละคนประมวลมาซึ่งกรรมที่บุคคลนั้นได้สะสมแล้ว ที่จะเกิดขึ้นเป็นไป ทั้งในขณะที่เกิด และหลังจากที่เกิดแล้ว เพราะเหตุว่าการให้ผลของกรรม ให้ผลในขณะปฏิสนธิกาล คือ ในขณะที่เกิดขึ้น เป็นปฏิสนธิจิต เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้วก่อนที่จะจุติ ทั้งหมดนั้นชื่อว่า “ปวัตติกาล” กรรมอื่นที่ได้สะสมประมวลไว้ ก็ยังสามารถที่จะให้ผลในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงขณะของชีวิตได้


เมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว กรรมไม่ได้ทำให้เพียงปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเท่านั้น กรรมนั้นยังทำให้จิตขณะต่อไปเป็นวิบากจิตเกิดสืบต่อคงเป็นสัตว์ประเภทนั้นๆ ต่อไป โดยภวังคจิตเกิดต่อจากปฏิสนธิจิต เพราะฉะนั้น ภวังคจิตก็คือสันตีรณอกุศลวิบาก ในขณะที่สัตว์ดิรัจฉานยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่ได้ลิ้มรสอะไรเลย เมื่อปฏิสนธิจิตที่เป็นสันตีรณอกุศลวิบากดับไปแล้ว ภวังคจิตของสัตว์ดิรัจฉานก็เป็นสันตีรณอกุศลวิบากเกิดสืบต่อ จนกว่าจะมีรูปกระทบทางตา เสียงกระทบทางหู กลิ่นกระทบทางจมูก รสกระทบทางลิ้น สิ่งที่กระทบสัมผัสกระทบทางกาย

สำหรับสัตว์ดิรัจฉานมีกุศลวิบากเกิดได้ไหมคะ? เสียงที่เราได้ยิน สัตว์ดิรัจฉานได้ยินด้วยหรือเปล่า ในโลกอันเดียวกัน หรือว่าปิดกั้นไม่ให้สัตว์ได้ยินเสียงซึ่งเราได้ยิน ที่มนุษย์ได้ยิน สัตว์ดิรัจฉานได้ยินเสียงอย่างที่เราได้ยินได้ไหมคะ เพราะฉะนั้นสัตว์ดิรัจฉานจะมีโสตวิญญาณกุศลวิบากได้ไหม? ได้ แต่หลังจากนั้นแล้ว มหากุศลจะเกิดเหมือนอย่างมนุษย์ที่จะฟังรู้เรื่อง รู้ความหมาย แล้วก็อบรมเจริญความเข้าใจต่อไปได้ไหม? ไม่ได้

เชิญคลิกฟังเพิ่มเติมที่นี่ ครับ

มีกรรมอึ่นประมวลมาให้ผลต่อจากปฏิสนธิจิต

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 23 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปฏิสนธิจิต เป็นจิตขณะแรกในแต่ละภพในแต่ละชาติ ที่เกิดขึ้นเป็นไป สืบต่อจากจุติของชาติที่แล้ว สิ่งที่เก็บสะสมอยู่ในจิตไม่สูญหายไปไหนเลย ทั้งกรรมที่เคยกระทำแล้ว การสะสมทั้งดีและไม่ดี ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิต ปฏิสนธิจิต จึงประมวลมาทั้งหมด ทั้งกรรม และวิบาก ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้จากชีวิตประจำวันว่า ที่มีการกระทำกรรมที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง สะสมสิ่งที่ดีและไม่ดี ตลอดจนถึงได้รับผลของกรรมโดยลักษณะต่างๆ มาจากไหน ถ้าไม่มีจิตขณะแรกในภพนี้ชาตินี้ สิ่งเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นเป็นไปไม่ได้ ตราบใดก็ตามที่ยังมีการเกิด ยังไม่พ้นจากกิเลส ก็ยังต้องมีการกระทำกรรมที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้างและมีการได้รับผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วตามควรแก่กรรมประเภทนั้นๆ จนกว่าจะมีการอบรมเจริญปัญญาจนถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีก ไม่มีปฏิสนธิจิตเกิดอีก เมื่อไม่มีการเกิด จึงไม่มีทั้งการกระทำกรรมและไม่มีการได้รับผลของกรรมอีกต่อไป เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 23 เม.ย. 2557

จิตสะสม ปฏิสนธิจิต ทำให้เกิดกรรมต่างๆ แล้วแต่ว่าใครทำกรรมอะไรไว้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ประสาน
วันที่ 24 เม.ย. 2557

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยความเคารพครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
natural
วันที่ 25 เม.ย. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 7 ก.ค. 2562

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
panasda
วันที่ 14 เม.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Kalaya
วันที่ 14 ก.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะเมื่ออ่านแล้ว พอรู้ว่า

พระธรรมละเอียด ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก ถ้าระลึกและเข้าใจเป็นสภาพธรรมะที่เกิด ที่ไม่ใช่เรา แต่เมื่อใดเข้าใจ จะไม่ทำใดๆ เพราะเข้าใจก็จะไม่ทำอย่างไร

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ