การตาย ๔ อย่าง
ขอคำอธิบายเรื่อง การตาย ๔ อย่าง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
1.การตายโดยสิ้นอายุ ตัวอย่าง คือ พวกเทพทั้งหลายที่มีอายุแน่นอน เช่น ภพดาวดึงส์มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี ทิพย์ เมื่อถึงกำหนดครบอายุก็ต้องตาย
2. การตายโดยสิ้นกรรม ตัวอย่าง คือ มนุษย์มีอายุ ๑๐๐ ปี แต่บุญที่นำเกิดเป็นมนุษย์มีกำลังน้อย มีอายุไม่ถึง ๑๐๐ ปี ตายก่อน เพราะหมดบุญ
3. การตายโดยการสิ้นทั้งอายุและกรรมตัวอย่าง คล้าย กับข้อแรก คือ บุญส่งผลให้เกิดเป็นเทพมีอายุ ๑,๐๐๐ เมื่อครบกำหนด หมดบุญพอดีและครบอายุพอดี พร้อมกัน
4.การตายโดยถูกกรรมอื่นตัดรอน ตัวอย่างที่ท่านกล่าวถึง คือ พระเจ้ากลาพุ ถูกแผ่นดินสูบ หรือคนที่ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือฆ่าตัวตาย ชื่อว่าตายเพราะถูกกรรมตัดรอนครับ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
การตายโดยสิ้นอายุต่างจากการตายโดยสิ้นกรรมอย่างไร
@ การตายโดยสิ้นอายุ และ การตายโดยสิ้นกรรม ตามที่อธิบายมาข้างต้น เพราะสิ้นอายุขัยของภพภูมินั้น จึง ตายเพราะ ครบอายุขัย ครับ ส่วน การตายโดยสิ้นกรรม เพราะ บุญหมด บุญน้อย ก็ตายก่อน อายุขัย แม้อายุขัยของ เทวดา จะ 1000 ปี แต่บุญหมดก่อน ก็ตายจากความเป็นเทวดา ครับ นี่คือความต่างกันของทั้งสองอย่าง
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
การตายโดยถูกกรรมอื่นตัดรอน กรรมใดตัดรอน และตัดรอนอย่างไรคะ
@ คนที่ตาย เพราะ ถูกกรรม คือ อกุศลกรรมตัดรอน เช่น อกุศลกรรมในอดีตที่เป็นผู้ที่ฆ่าสัตว์ กรรมนั้น ย่อมตัดรอนให้ผู้นั้น มีอายุสั้น ประสบอุบัติเหตุ ตายได้ ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่
การตายเป็นธัมมะที่เป็นเพียงการเกิดขึ้นของจิตที่เรียกว่า จุติจิต ซึ่ง ความตายในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ไม่รู้ เพราะในความเป็นจริงของชีวิตที่เกิดมา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้น สำหรับ ขณะที่เกิดในพระพุทธศาสนา คือ ขณะที่จิต เจตสิกเกิดขึ้น ในขณะที่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรม สำหรับการเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นผลของกรรมดี ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด ขณะนั้นเกิดแล้ว ในภพภูมิมนุษย์ อยู่ในครรภ์ เล็กมาก และกรรมก็จัดสรรให้เป็นไป จนในที่สุด เมื่อถึงคราวที่ตาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตาย แต่เป็นจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น คือ ขณะที่จุติจิตเกิด ขณะนั้นชื่อว่า ตาย โดยสมมติว่า ตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น การตายในพระพุทธศาสนาที่เป็น สมมติมรณะ คือ ตายจากโลกนี้ไป เป็นในขณะที่จุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ เพราะหมดกรรมที่จะทำให้เป็นบุคคลนี้อีก ซึ่งไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้เลย
เรื่องตาย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเป็นจิตขณะเดียวที่เกิดขึ้น เราจะต้องตาย ตาย-เหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ ซึ่งเป็นความจริงไม่มีใครหลีกพ้นได้ แต่สิ่งที่น่าคิดพิจารณาอยู่เสมอ นั้นก็คือ ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ จะดำเนินไปอย่างไร เพราะไม่มีใครรู้ได้ว่าจะตายเมื่อไหร่ ดังนั้น ชาตินี้ ยังมีกิเลสมาก เต็มไปด้วยอกุศลประการต่างๆ ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น อีกทั้งปัญญาก็ยังไม่เจริญ ก็จะต้องเป็นผู้ไม่ประมาท หมั่นศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง และขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่พ้นจากธรรม เพราะถ้ากล่าวถึงการตาย ไม่ว่าจะตายในลักษณะใด ก็ต้องเป็นธรรม ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น คือ เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในชาติหนึ่งๆ เป็นจิตขณะสุดท้ายที่เกิดขึ้นแล้วดับไป จิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้ ทำกิจจุติ คือ ทำกิจเคลื่อนหรือพรากให้สิ้นสุดสภาพความเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ จะกลับมาสู่ความเป็นบุคคลนี้อีกไม่ได้เลย ที่น่าพิจารณาซึ่งจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลในชีวิตประจำวัน คือ ความตาย เป็นความจริงที่ทุกคนหลีกหนีไม่พ้น เมื่อถึงคราวตาย ใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ใครๆ ก็ต้านทานไว้บุคคลที่เกิดมาแล้ว ย่อมไม่พ้นไปจากความตาย ได้เลย ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครสามารถเอาชนะความความตายได้ด้วยเวทมนต์คาถา ด้วยการสู้รบ หรือ แม้ด้วยทรัพย์ ไม่ว่าจะไปอยู่ ณ ที่ไหนๆ ก็ไม่พ้น ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร เพศไหน ฐานะใด ก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรทำที่จะเป็นประโยชน์สำหรับตนเอง นั้น คืออะไร? ไม่ใช่การทำชั่ว เป็นแน่ แต่ต้องเป็นการสะสมความดี ไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เพราะเมื่อความตายมาถึงก็จะต้องละจากโลกนี้ไป ไม่สามารถจะทำการต่อรองหรือผัดเพี้ยนได้ว่า จงรอก่อน ขอฟังธรรมก่อน ขอทำดี ก่อน เพราะฉะนั้น ไหนๆ ก็จะต้องถึงวันนั้นอยู่แล้ว การเป็นคนดีและศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ สำคัญที่สุด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
การตายเป็นผลของกรรม ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แล้วแต่ว่า จะตายแบบไหน ค่ะ