การบ่นเพ้อธรรม
เรียนถามเกี่ยวกับการบ่นเพ้อธรรมว่า
1.การคิดสงสัยและการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระธรรมโดยยังไม่เข้าใจตามคำสอนจริงๆ เป็นการบ่นเพ้อธรรมใช่หรือไม่คะ และจะไม่เกิดการบ่นเพ้อธรรมเมื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงใช่หรือไม่คะ
2.การแสดงความคิดเห็นโดยยังไม่เข้าใจในคำสอนจริงๆ จะมีผลทำให้ผู้อื่นเข้าใจพระธรรมผิดได้หรือไม่คะ หรือขึ้นอยู่การคิดไตร่ตรองของผู้อ่านผู้ฟังเป็นหลัก และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระธรรมที่เหมาะควรเป็นอย่างไรคะ
เรียนถามเพิ่มเติม เรื่องของท่านอโกสกพารทวาชพรามหณ์ (ขอโทษด้วยค่ะถ้าสะกดผิด) เกี่ยวกับการเกื้อกูลการฟังคำจริง ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
1.การคิดสงสัยและการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระธรรมโดยยังไม่เข้าใจตามคำสอนจริงๆ เป็นการบ่นเพ้อธรรมใช่หรือไม่คะ และจะไม่เกิดการบ่นเพ้อธรรมเมื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงใช่หรือไม่คะ
➢ การพูดในเรื่องราวของธรรม แต่ไม่เข้าใจพระธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ หรือ เข้าใจธรรมที่ไม่ถูกต้อง ก็เรียกว่าเป็นผู้บ่นเพ้อในธรรม เพราะ บ่นเพ้อในสิ่งที่ไม่รู้จริง เพราะ ความจริง คือ สภาพธรรมในขณะนี้ หากไม่มีสภาพธรรมในขณะนี้ ที่เป็น จิต เจตสิกและรูป ก็จะไม่มีเรื่องราวไม่มีสัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆ เลย ดังนั้น อาศัย ชื่อ เพื่อเข้าใจตัวจริง คือ ศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าที่เป็นชื่อเรื่องราวที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ ด้วยจุดประสงค์เพื่อเข้าใจตัวจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้เป็นสำคัญครับ เมื่อพูดธรรม ไม่ว่าเรื่องใด ก็ไม่พ้นจากความจริงที่ปรากฏในขณะนี้นั่นเองครับ ศึกษาเพื่อเข้าใจตัวจริงขณะนี้ สำคัญที่สุด ซึ่งการกล่าวธรรมที่ถูกต้องและตรงตามสภาพธรรมที่มีจริง หรือ ขณะที่สติเกิดรู้ลักษณะของสภาพธรรม ก็ชื่อว่า เป็นผู้ไม่บ่นเพ้อธรรม
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่........บ่นเพ้อธรรม [มหาวิภังค์]
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๒๗๐
บุคคล ไม่ทำให้แจ้งซึ่งธรรมแม้ ๒ อย่าง ด้วยปัญญาของตนแล้วและไม่ใคร่ครวญเนื้อความแม้สักว่า คำว่า อนิจจัง คำว่า ทุกขัง และคำว่าอนัตตา ในสำนักของบุคคลผู้เป็นพหูสูตทั้งหลาย ไม่รู้อยู่เพราะความที่ตนไม่รู้ได้ด้วยตนเอง และชื่อว่ายังข้ามความสงสัยไม่ได้ เพราะตนยังไม่ได้พิจารณาใคร่ครวญ แล้วอาจเพื่อจะทำบุคคลอื่นให้เพ่งเล็ง คือ ให้เพ่งพินิจได้อย่างไรดังนี้. ในข้อนี้ผู้ศึกษาพึงระลึกถึงสุตตบท มีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนจุนทะผู้นั้นแล ชื่อว่า บ่นเพ้ออยู่ด้วยตนเอง ดังนี้.
2.การแสดงความคิดเห็นโดยยังไม่เข้าใจในคำสอนจริงๆ จะมีผลทำให้ผู้อื่นเข้าใจพระธรรมผิดได้หรือไม่คะ หรือขึ้นอยู่การคิดไตร่ตรองของผู้อ่านผู้ฟังเป็นหลัก และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระธรรมที่เหมาะควรเป็นอย่างไรคะ
➢ แน่นอนครับ ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด การแสดงที่ถูกต้อง ต้องตรงตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโดยเฉพาะ ตรงตามสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ครับ ขออนุโมทนา
อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ เกิดความโกรธ ขัดใจ ไม่พอใจ เมื่อได้ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังพราหมณ์ภารทวาชโคตร ผู้เป็นพี่ชายของตนให้บวช จึงได้เข้าไปด่าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ด้วยถ้อยคำอันหยาบคาย พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสสนทนากับพราหมณ์ เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง ว่า เมื่อมีแขกมาเยี่ยมที่บ้านของตน ผู้เป็นเจ้าของบ้านย่อมทำการต้อนรับด้วยวัตถุต่างๆ ทั้งของเคี้ยวของบริโภคและเครื่องดื่ม ถ้าหากแขกไม่รับสิ่งของเหล่านั้น สิ่งของเหล่านั้นย่อม (ตก) เป็นของเจ้าของบ้าน ฉันใด
เมื่อพราหมณ์ด่าพระองค์ด้วยถ้อยคำอันหยาบคายอย่างนี้ พระองค์ไม่รับคำด่าของพราหมณ์ คำด่าดังกล่าวเป็นของพราหมณ์เพียงคนเดียวเท่านั้น ฉันนั้น ... พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้จะถูกด่า ถูกว่า พระองค์ก็ไม่ทรงโกรธตอบ พร้อมทั้งทรงเป็นที่พึ่งให้กับอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ด้วย ซึ่งในที่สุดอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ก็เกิดความเลื่อมใส ขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา ในกาลต่อมาท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์.
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเกื้อกูลด้วยธรรมที่เป็นคำจริง และท่านก็สะสมปัญญามา และก็สามารถบรรลุได้ตอนหลัง ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-ตราบใดก็ตามที่ยังไม่สามารถดับความสงสัยในสภาพธรรมได้อย่างหมดสิ้น ความสงสัยในสภาพธรรมก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นไป จะค่อยๆ คลายความสงสัยได้ ก็ด้วยการฟังพระธรรม สนทนาสอบถามกับท่านผู้ที่มีความเข้าใจ เพื่อจะได้เข้าใจอย่างถูกต้อง และต้องไม่ลืมจุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมว่า เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของสภาพธรรม ถ้าศึกษาอย่างนี้ ไม่ใช่ แต่ถ้าไม่มีจุดประสงค์ไม่ได้น้อมมาเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ก็ไม่พ้นไปจากการบ่นเพ้อธรรม อย่างแน่นอน
-ความเข้าใจผิด เห็นผิด อันตรายมาก ตนเองเห็นผิดแล้ว ยังเผยแพร่ความเห็นที่ผิดให้กับคนอื่นด้วย เป็นการทำให้อสัทธรรม คือ สิ่งที่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดแพร่หลายมากยิ่งขึ้น ไม่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและแก่คนอื่น ที่สำคัญที่สุดแล้ว ควรจะได้ศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เมื่อเข้าใจถูกแล้ว ก็สามารถเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ด้วย
-อักโกสภารทวาชพราหมณ์ เป็นผู้ที่สะสมอุปนิสัยที่ดีมา ซึ่งเป็นธรรมดาที่ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้ ก็ยังมีเหตุทำให้กิเลสเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แต่เพราะมีโอกาสได้ฟังความจริง ได้รับการเกื้อกูลจากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อันเป็นวาจาสัจจะ แสดงความเป็นจริงของธรรม ทำให้ท่านได้รับฟัง มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ได้รับประโยชน์จากพระธรรม กล่าวได้ว่า พระธรรม พลิกชีวิตของบุคคลจริงๆ จากที่มากไปด้วยกิเลส ก็สามารถทำให้ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นจนถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสได้โดยประการทั้งปวง ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...