กุศลมูลจิต และอกุศลมูลจิตเกิดดับสั่งสมเป็นวิบากจิตที่ชวนวิถีทางปัญจทวาร ต่างกับทางมโนทวารอย่างไรครับ
กุศลจิต และอกุศลจิตเกิดดับสั่งสมเป็นวิบากจิต ที่ชวนวิถีทางปัญจทวาร ต่างกับทางมโนทวารอย่างไรครับ และจะให้ผลกรรมได้ทางไหนบ้างครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อกล่าวถึงทางที่ทำให้เกิด กุศลจิต และ อกุศลจิตแล้ว ทั้งทางปัญจทวาร และทางมโนทวาร สามารถเกิด กุศลจิต และ อกุศลจิตที่ชวนจิตของทั้งสองทวารได้ครับ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว หากพิจารณาความจริง ขณะนี้กำลังเห็น แม้ยังไม่คิด จิตอื่นๆ เกิดต่อ จนถึงชวนจิต สามารถเกิด อกุศลจิต หรือ กุศลจิตได้ ที่ติดข้องในสิ่งที่เพียงเห็น แม้ยังไม่คิดเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทางมโนทวาร และ สามารถเกิด กุศลจิตได้ ที่เกิดสติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ คือ สี ที่ปรากฏทางตาว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เราก็ได้ ครับ
ซึ่ง กุศล และ อกุศลที่เกิดทางปัญจทวาร และ มโนทวาร ต่างกัน คือ ปัญจทวาร ที่เป็นกุศล อกุศล จะต้องมีปรมัต คือ รูปเป็นอารมณ์เสมอ ครับ ส่วนมโนทวาร กุศล อกุศล มีปรมัต และ บัญญัติเป็นอารมณ์ได้ ครับ
ส่วน กุศล อกุศลทางปัญจทวาร ไม่มีกำลังมากเท่า ทางมโนทวาร ทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล ทางมโนทวาร กุศลสามารถเกิดได้ถึง วิปัสสนาญาณ บรรลุธรรม แต่ ทางปัญจทวาร ไม่สามารถ ครับ และ โดยมาก กรรมสำเร็จ ให้ผล เป็นทางมโนทวาร แต่ ทางปัญจทวารก็สามารถให้ผลได้ ทางฝ่ายกุศล เช่น สติปัฏฐานเกิดทางปัญจทวาร ครับ นี่คือ ความต่างกัน ตามที่กล่าวมา ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นเรื่องของเหตุและผล ของความเป็นจริงของธรรมอย่างแท้จริง ความจริงเป็นจริงเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ตามความเป็นจริงแล้ว อกุศลจิต ก็เป็นธรรม คือ เป็นจิตที่เกิดขึ้นประกอบด้วยอกุศลเจตสิกประการต่างๆ ตามควรแก่อกุศลจิตประเภทนั้นๆ ต่างโดยเป็นประเภทที่มีโลภะเป็นมูล (โลภมูลจิต) บ้าง ต่างโดยที่เป็นประเภทที่มีโทสะเป็นมูล (โทสมูลจิต) บ้าง และต่างโดยประเภทที่มีโมหะเป็นมูล (โมหมูลจิต) บ้าง แต่ถ้าเป็นกุศลจิตแล้ว ตรงกันข้ามกับอกุศลอย่างสิ้นเชิง กุศลจิตประกอบด้วยเจตสิกที่ดีงามมากมายทีเดียวในขณะที่เกิดขึ้น มี ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ เป็นต้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา หรือ ไม่ประกอบด้วยปัญญา
เหตุที่จะทำให้เกิดวิบากในภายหน้านั้น ต้องเป็นกุศล หรือ อกุศลที่สำเร็จเป็นกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม แล้ว โดยไม่ปะปนกัน เมื่อสำเร็จเป็นกุศลกรรมและ อกุศลกรรม แล้ว เมื่อถึงกาละที่กรรมจะให้ผล ผลก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย แม้ทางปัญจทวาร สามารถสำเร็จเป็นกุศลกรรม ได้ ขณะที่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริง สำเร็จเป็นกุศลกรรม ซึ่งจะแตกต่างจากฝ่ายอกุศลมาก ที่จะต้องมีการล่วงเป็นทุจริตกรรมเบียดเบียนผู้อื่น จึงจะเป็นเหตุให้เกิดผลในภายหน้า ถ้ายังไม่ล่วงออกมาทางกายหรือทางวาจาก็เป็นการสะสมอุปนิสัยที่ไม่ดีต่อไป และอาจจะเป็นเหตุให้ล่วงเป็นทุจริตกรรมในอนาคตได้ เป็นสิ่งที่จะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...