ผีหรือภพภูมิต่างๆไม่มายุ่งกับคนเหรอครับ

 
Krisd
วันที่  30 เม.ย. 2557
หมายเลข  24783
อ่าน  3,761

ผมได้ฟังธรรมตอนหนึ่งท่านอาจารย์ตอบคำถามเรื่องผีอำ ผมฟังแล้วผมเข้าใจว่าท่านอาจารย์ปฏิเสธเรื่องผีอำว่าไม่มีจริง ผมจึงสงสัยว่าผีหรือภพภูมิต่างๆ เขาไม่มายุ่งกับคนเหรอครับ ผมเอาไฟล์ตอนนี้ไปให้เพื่อนผมฟัง เขาก็บอกว่าทำไมอาจารย์พูดเหมือนปฏิเสธเรื่องภพภูมิเลย ผมจึงอยากขอคำอธิบายเรื่องนี้แบบชัดๆ หน่อยครับ


Tag  ผี  
  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 30 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก ส่วนใหญ่แล้วลักษณะที่ชาวบ้านทั่วๆ ไปเรียกว่าผีอำ ความจริงน่าจะหมายถึงอาการฝันร้าย ซึ่งขณะที่ฝันร้ายนั้นอะไรคือสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริง ก็คือ คิดนึก ไม่พ้นไปจากจิตและเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย และเป็นอกุศลจิตด้วยในขณะนั้น แต่เรื่องที่คิดนั้นไม่มีจริง อีกส่วนที่เรียกว่า ผีอำ คืออาการนอนผิดท่า ในทางธรรมเรียกว่าธาตุกำเริบ ร่างกายปวดเมื่อย ทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้ จะสังเกตได้ว่าช่วงไหนไม่มีความวิตกกังวล นอนหลับในท่าที่สบายอาการดังกล่าวย่อมไม่เกิดขึ้น

ประเด็นเรื่องภพภูมิ นั้น มีมาก ถึง ๓๑ ภพภูมิ จำแนกเป็น อบายภูมิ ๔ (นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน) มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ รูปภูมิ ๑๖ และ อรูปภูมิ ๔ การเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ไปได้ด้วยอำนาจของอกุศลกรรม ผู้ที่เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือ สัตว์ดิรัจฉาน เช่น สุนัข แมว ไก่ เป็นต้น แต่ถ้าการเกิดเป็นมนุษย์และเกิดในสวรรค์แล้ว เป็นผลของกุศลกรรม การเกิดเป็นพรหมบุคคลก็ตามระดับขั้นของฌานที่ท่านได้ เมื่อฌานขั้นใดไม่เสื่อมก่อนจุติ เมื่อตายแล้วก็ทำให้เกิดเป็นพรหมบุคคล

ผู้ที่ไม่ได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้ทั้งหมด เมื่อตายไป (จิตขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้) ย่อมเกิดทันที (ปฏิสนธิจิต) แต่จะไปเกิดเป็นอะไร ที่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำแล้ว แต่เกิดแน่นอน สังสารวัฏฏ์ก็ยังดำเนินต่อไป (มีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไป อย่างไม่ขาดสาย) ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็ไม่เรียกว่าผี แต่ถ้าเป็นสัตว์ในภูมิอื่นกล่าวคือ เกิดเป็นเปรต เป็นต้น ก็อาจจะมีคำเรียกว่าผี ก็ได้ ซึ่งก็บัญญัติเรียกมาจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรม ที่เป็นสัตว์ในภพภูมินั้นๆ ส่วนผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว (ตาย) ย่อมไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ครับ

คำถาม และ คำตอบของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในเรื่องนี้ มีดังนี้

-ถาม : มีผีจริงหรือไม่?

-ตอบ : โดยมากเข้าใจว่า ตายแล้วเป็นผี แต่ความจริงนั้น ทันทีที่จุติคือ จิตขณะสุดท้าย ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนั้นดับ ปฏิสนธิจิต คือ จิตขณะแรกของชาติต่อไป ก็เกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น แล้วแต่ว่าปฏิสนธิจิตนั้น เป็นผลของกรรมใดที่ทำให้เกิดในภพภูมิใด

ถ้าเกิดในนรกก็ไม่มีใครมองเห็น เมื่อไม่เห็นสัตว์นรก ก็ไม่กล่าวว่าเห็นผี แต่ถ้าเกิดในภูมิที่สามารถจะปรากฏกายให้เห็นได้ คือ ขณะที่เห็นบุคคลที่ตายไปแล้ว ปรากฏร่างเหมือนที่เคยมีชีวิตอยู่ ก็เข้าใจว่าเห็นผี ความจริงเทวดาก็ปรากฏให้เห็นได้เหมือนกัน แต่ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าผีหรือเปล่า หรือจะเรียกว่าผีเฉพาะผู้ที่ตายแล้วเกิดเป็นเปรต และอสุรกายเท่านั้น.

ขอเชิญคลิกอ่านรายละเอียดในหัวข้อดังกล่าวได้ที่นี่ ครับ

ผี มีจริงหรือเปล่าครับ

ผี !!!!!!!

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 30 เม.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คำว่า ผี ความเข้าใจส่วนใหญ่ก็เข้าใจกันว่าเป็นบุคคลที่ตายแล้วและก็เป็นวิญญาณล่องลอยและปรากฏให้เห็นได้ แต่ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะธรรมแล้ว เมื่อตายแล้ว คือจุติจิตเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิต (การเกิด) เกิดต่อเปลี่ยนภพภูมิทันที ไม่ใช่ว่าจะต้องมีวิญญาณล่องลอยที่จะคอยหาที่เกิดเป็นผีครับ ตายแล้วจะต้องเกิดทันทีครับ แต่จะเกิดเป็นอะไรนั้นก็แล้วแต่กรรมที่จะให้ผลครับ หากเกิดเป็นสัตว์ก็คงไม่เรียกว่าผี หากเกิดเป็นมนุษย์ก็คงไม่เรียกว่าผี แต่เมื่อเกิดเป็นเทวดาซึ่งเทวดาก็สามารถปรากฏให้เห็นได้ ใช่ผีหรือเปล่า ซึ่งในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง แบ่งภพภูมิเป็นหลายภพภูมิ ทั้งมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต เทวดา เป็นต้น ผู้ใดก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น เทวดา เปรต ก็เรียกว่าอมนุษย์ครับ

ส่วนในบางกรณีสำหรับการที่บางบุคคลพบกับบุคคลที่ตายไปแล้ว ยังมาให้เจออีก ประเด็นนี้เราควรมีความเข้าใจถูกครับว่าที่เห็นเป็นบุคคลที่ตายแล้ว ยังอยู่ให้เห็นก็เพราะสัตว์นั้นไปเกิดเป็นเปรตทันที ต้องการส่วนบุญเพราะเปรต อาหารที่เขาจะได้รับคือการอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วจะทำอย่างไรให้เขารู้ได้ก็ด้วยการปรากฏให้เห็น เพื่อบุคคลอื่นจะได้ทำบุญไปให้กับเปรตนั้นครับ แต่จะต้องเข้าใจใหม่ว่าไม่ใช่เป็นวิญญาณล่องลอยที่คอยตามและแสวงหาที่เกิดแต่ตายแล้วเกิดทันทีครับ ผู้ที่เกิดเป็นเปรตต้องการส่วนบุญจึงปรากฏให้เห็น ซึ่งในพระไตรปิฎก สมัยพุทธกาลก็มีบางบุคคลเจอบุคคลที่ตายแล้ว เพื่อมาขอส่วนบุญกับบุคคลที่เจอโดยให้คนที่มีชีวิตอยู่อุทิศกุศลที่ทำไปแล้วไปให้เปรตได้รับรู้และอนุโมทนาครับ ดังนั้น เสื้อผ้าติดตัวมาด้วย เปรตสามารถเนรมิตตนเองให้มีรูปร่าง และเสื้อผ้าเหมือนเดิมได้เพื่อให้ผู้อื่นจำได้ และ จะได้อุทิศส่วนกุศลให้เขาครับ

วิญญาณ ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หมายถึง วิญญาณล่องลอยที่เป็นผี ตามที่่เข้าใจกัน แต่หมายถึงสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ คือ เป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ เรียกว่าวิญญาณ คือ จิตนั่นเองครับ ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงวิญญาณก็คือสภาพธรรมที่เป็นจิต วิญญาณหรือจิตจึงมีหลายประเภท เช่น จักขุวิญญาณ หรือ จิตเห็น โสตวิญญาณ หรือ จิตได้ยิน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Krisd
วันที่ 3 พ.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Krisd
วันที่ 3 พ.ค. 2557

อยากขอเรียนถามเรื่องการขอส่วนบุญในฝันนั้นเป็นไปได้หรือไม่ครับ มีแสดงไว้ในพระไตรปิฎกบ้างหรือเปล่า จากประสบการณ์ส่วนตัวผม ช่วงวันโกนวันพระผมมักจะฝันเห็นคุณแม่และญาติที่ตายไปแล้วอยู่บ่อยครั้ง และช่วงก่อนฝัน มักจะตื่นมาแต่ลืมตาและขยับตัวไม่ได้ จะรู้สึกอึดอัดเหมือนอากาศหรือลมหนักๆ กดทับ เข้าใจว่าไม่ใช่ความฝันแน่นอนครับ เพราะได้ยินเสียงไฟล์ธรรมะที่เปิดทิ้งไว้ตลอด

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 4 พ.ค. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ