ทางเดินสู่สุคติภพและปากทางสู่นิพพาน

 
jran
วันที่  3 พ.ค. 2557
หมายเลข  24798
อ่าน  1,568

ความเชื่อศรัทธาในพระรัตนตรัย การให้ทานและการรักษาศีล สำหรับคฤหัสถ์แล้วเป็นทางเดินไปสุคติภพในขณะที่ยังไม่เข้าถึงนิพพาน ซึ่งแต่ละขั้นตอนยังต้องได้รับการเรียนรู้บ่มเพาะสติปัญญาและต้องใช้เวลาอีกนานแสนนานในการสั่งสมปัญญนธรรมเหล่านี้เพื่อเข้าสู่การบำเพ็ญภาวนา ดับกิเลส ละตัณหา และถอนอุปทาน ในชาติไดชาติหนึ่งข้างหน้านี้

ดังนั้นในการใช้ชีวิตประจำวันนอกจากทำงาน ดูแลครอบครัวแล้วจึงจำเป็นต้องศึกษาพระธรรมจากพระไตรปิฎกและคำแนะนำจากบัณฑิตพร้อมน้อมนำธรรมที่ได้เรียนรู้เข้าสู่กายสุจริต วาจาสุจริต มโนสุจริต จนกว่าจะแก่ เจ็บและตายไปในที่สุด

ตามที่กระผมกล่าวมา หากธรรมไดที่ไม่ถูกต้องและเป็นมิจฉาทิฏฐิ ขอคำแนะนำด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถูกต้องครับ ควรเจริญกุศลทุกๆ ประการ พร้อมๆ กับการศึกษาพระธรรม โดยการสอบถามสนทนากับผู้รู้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่ง การเจริญกุศลทุกประการ เป็นธรรมที่อุปถัมภ์การเจริญขึ้นของปัญญา เพราะ บารมี ไม่ใช่มีประการเดียว มี 10 ประการ ดังนั้น การดำเนินชีวิตก็เป็นปกติของคฤหัสถ์ พร้อมๆ กับการเจริญกุศลทุกประการ และ ศึกษาพระธรรม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ครับ

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอุปการะเกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาเป็นสำคัญ เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม เพราะเหตุว่าการขัดเกลากิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิตใจ) ไม่เหมือนกับการทำความสะอาดวัตถุสิ่งของ เพราะเหตุว่าการขัดเกลากิเลสที่แต่ละบุคคลได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ต้องอาศัยการเจริญกุศลทีละเล็กทีละน้อย บ่อยๆ เนืองๆ สำหรับบุคคลผู้ที่ยังไม่มีปัญญาคมกล้าจนถึงขั้นที่จะสามารถบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ได้นั้น โอกาสใดที่จะเจริญกุศลได้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านใดๆ ก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะละเลยโอกาสนั้นไป เพราะโอกาสของการได้ทำความดี ในชีวิตประจำวันนั้น เป็นโอกาสที่หายาก เทียบส่วนกันไม่ได้เลยกับขณะที่เป็นอกุศล ซึ่งในวันหนึ่งๆ อกุศลจิตเกิดบ่อยมากเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าไม่มีโอกาสของกุศลจิตได้เกิดขึ้นบ้างเลย นับวันอกุศลก็จะสะสมพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ สังสารวัฏฏ์ยืดยาวต่อไปอีกอย่างไม่มีวันจบสิ้น

ไม่ใช่ว่า ไม่เจริญกุศลอย่างอื่น มุ่งแต่จะเจริญสติปัฏฐานอย่างเดียว ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า อกุศลมีมากเหลือเกิน และที่สำคัญ เพราะมีความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ เข้าใจว่า เป็นแต่เพียงธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ก็จะอุปการะเกื้อกูลให้คุณความดีประการต่างๆ เจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน ด้วย ทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็มาจากการได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า เพราะเคยเห็นประโยชน์ของพระธรรมมาแล้ว ก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้ฟังได้ศึกษาอีก สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้นต่อไปอีกจนกว่าปัญญาจะถึงความสมบูรณ์พร้อมในที่สุด ซึ่งเมื่อปัญญาเจริญ กาย วาจา ใจก็ดีขึ้นและกุศลประการต่างๆ ก็เจริญตามปัญญาด้วย ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 3 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา นำมาซึ่งประโยชน์คือ เพื่อสภาพธรรมที่เป็นกุศลเจริญขึ้น เพราะกุศลนำมาซึ่งประโยชน์ทั้งปวง ไม่เคยนำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้เลย ผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม จึงมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา น้อมไปในกุศลแต่ละอย่างๆ ประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา คือ เพื่อพ้นจากทุกข์ ไม่เกิดอีกซึ่งเป็นการดับกิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะฉะนั้น พระธรรมคำสอนทั้งหมด ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยใดก็ตาม ก็เพื่อประโยชน์สูงสุด คือ หลุดพ้นจากกิเลส ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ถ้าดำเนินตามหนทางที่ถูกต้อง โอกาสแห่งการพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ก็ย่อมจะมีได้ ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญปัญญาต่อไป โดยเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม และไม่ขาดการฟังพระธรรมนั่นเอง ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 3 พ.ค. 2557

ฟัง และ เจริญกุศลทุกๆ ประการ ก็จะทำให้ถึงนิพพาน แม้ไม่หวัง ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 3 พ.ค. 2557

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jran
วันที่ 4 พ.ค. 2557

ขอบคุณครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ