ความเงียบสงบและความติดข้อง

 
papon
วันที่  5 พ.ค. 2557
หมายเลข  24811
อ่าน  1,642

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

การชอบอยู่ในความสงบเงียบเป็นความติดข้องหรือไม่อย่างไรครับ ขอความอนุเคราะห์ด้วยครับ ขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 5 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง และสิ่งที่มีจริงนั้นก็มีจริงในขณะนี้ ไม่เคยขาดธรรมเลย แต่ไม่รู้ จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง แม้แต่ โลภะ ความติดข้องต้องการ ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ และในขณะที่ติดข้อง ก็ต้องมีสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความติดข้อง ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ เลย ถ้าจะถามว่า ติดข้องในอะไร มีมากมายเหลือเกิน ในรูป บ้าง เสียง บ้าง กลิ่น บ้าง เป็นต้น ทุกคนตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ย่อมหมายความว่ายังมีโลภะ ยังไม่สามารถดับได้ เพราะผู้ที่จะดับโลภะได้หมดสิ้นก็ต้องถึงความเป็นอรหันต์

โลภะ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นกุศลธรรมประเภทหนึ่ง ที่ติดข้อง ต้องการ ยินดีพอใจในสิ่งที่ปรากฏ มีตั้งแต่บางเบา จนกระทั่งถึงขั้นล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เพราะติดข้องเกินประมาณ นั่นเอง เพราะฉะนั้น เรื่องของโลภะ เป็นเรื่องที่แสนจะละเอียดจริงๆ ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาต้องเห็นโทษของอกุศลอย่างละเอียด แล้วก็ควรที่จะขัดเกลา เพราะถ้ายังเป็นผู้ที่ไม่อิ่มในโลภะ ในความต้องการ ก็ไม่มีวันที่จะหมดโลภะได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ทอดทิ้งฉันทะในกุศลธรรม เพื่อที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ วันหนึ่งก็สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นลำดับขั้น ครับ

ดังนั้น โลภะ ติดข้องได้ทุกอย่าง ยกเว้นแต่สภาพธรรมที่เป็นโลกุตตรธรรม 9 ที่เป็น มรรคจิต 4 ผลจิต 4 และ พระนิพพาน เพราะฉะนั้น แม้แต่ความเงียบ โลภะ ก็ติดข้องในความเงียบ ได้เป็นธรรมดา ครับ

@ ความติดข้องมีมากมายมหาศาล ทุกอย่างที่ทำไปด้วยโลภะที่จะอยู่ต่อไปในสังสารวัฏฏ์ แต่ขณะใดที่มีปัญญาเห็นโลภะตามความเป็นจริง เมื่อนั้นก็จะคลายโลภะได้ แต่ถ้ายังไม่เห็นโลภะ อย่างคนที่ทำกุศลก็เคลิบเคลิ้มหวังผลของกุศล ขณะนั้นจะละสังสารวัฏฏ์ได้อย่างไร

อ้างอิงจาก ... ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๓๖

* * * * * * * * * * * * * * * * * * *

การเห็นโทษของโลภะ ตัณหา จะต้องรู้จักตัวโลภะ จริงๆ ก่อนว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เพราะการเห็นโทษโดยการคิดนึก ไม่ได้ละกิเลส คือ โลภะจริงๆ เพราะจะต้องละความเห็นผิดว่าเป็นเราที่มีโลภะก่อน ครับ

ดังคำบรรยายที่ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวไว้ว่า

ต้องเห็นโลภะจึงละโลภะได้

เป็นคนที่ผิดปกติไหมคะ แต่เข้าใจความจริง เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง ด้วยความไม่รู้ก็ทำให้คิดไปต่างๆ นานา แม้แต่จะปราบโลภะ จะพยายามทำให้โลภะไม่เกิด แต่ด้วยความไม่รู้อะไรเลย ขณะนั้นก็ด้วยโลภะนั่นเองที่มีความต้องการอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่เห็นตัวโลภะด้วยปัญญาจริงๆ ไม่สามารถจะละได้ และการละอกุศลต้องตามลำดับขั้น ละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงในขณะที่เห็น ไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏแล้วจะไปละโลภะได้อย่างไร ไม่มีทางเลย เรียกว่า “ข้าม” พยายามไปทำอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งละเอียด คัมภีร ลึกซึ้ง เวลาที่โกรธ ต้องการอะไรคะ

สุกัญญา ก็ไม่ได้สิ่งที่พอใจ

สุ. ต้องการไม่ให้โกรธ ใช่ไหมคะ

สุกัญญา ใช่ค่ะ

สุ. ไม่ใช่รู้ลักษณะของโกรธซึ่งกำลังปรากฏว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา มิฉะนั้นแล้ว เมื่อไรจะถึงการละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้

--------------------------------

เชิญคลิกฟังที่นี่ ครับ

ไม่เห็นโลภะ ไม่เห็นอวิชชา ก็ละไม่ได้

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ข้อคิดเรื่อง การปฏิบัติธรรมในที่เงียบสงัด

จากคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์

สำหรับท่านที่คิดถึงเรื่องความสงัด หรือว่าท่านที่ต้องการจะไปสู่สถานที่ที่สงบสงัด ก็ขอให้พิจารณาว่าท่านจะไปเพราะเหตุใด ไปเพราะอยากจะไปเท่านั้น ไปเพราะชอบความเงียบสงัด ไปเพื่อที่จะพักผ่อน หรือว่าไปเพราะเข้าใจว่า ถ้าท่านยังคงไม่ไปสู่สถานที่เช่นนั้นล่ะก็ไม่สามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ หรือว่าสติจะเกิดไม่มาก ถ้าท่านใช้คำนี้ว่า ถ้าไม่ไปแล้ว สติจะเกิดไม่มาก ขอให้พิจารณาว่า ท่านกำลังติดอะไรหรือเปล่า กำลังต้องการอะไรหรือเปล่า เพราะสภาพธรรมกำลังปรากฏ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจว่า ปัญญาจะต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย ทางใจ โดยทั่ว ไม่ว่าท่านจะกำลังแต่งตัว หรือว่ากำลังประกอบกิจการงานอย่างหนึ่งอย่างใด ในวันหนึ่งๆ ถ้าสติไม่เกิดในขณะนั้นอาจจะเกิดในขณะอื่นได้ไหม ไม่จำกัดเวลา และขณะที่สติจะเกิด ไม่มีกฎเกณฑ์ว่า สติจะต้องระลึกที่กายก่อน หรือที่เวทนาก่อน หรือว่าที่จิต แล้วที่ธรรมในขณะนั้นก่อน หรือในสถานที่นั้นก่อน แต่ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ว่าปัญญาต้องรู้ทั่ว เมื่อต้องรู้ทั่วแล้ว ทำไมไม่ระลึกเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เพราะทุกขณะจิตเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

แต่ถ้าท่านต้องการไปสู่สถานที่หนึ่งสถานที่ใด ขอให้คิดว่ามีความติดหรือมีความต้องการหรือเปล่าในขณะนั้น ที่จะไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทันที และข้อสำคัญที่สุด คือว่าเมื่อไปแล้วศึกษาอะไร เข้าใจอะไรเพิ่มเติมขึ้น หรือว่า มีเวลามากพอที่จะปฏิบัติผิด เข้าใจผิด ซึ่งทำให้ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ดวงทิพย์
วันที่ 5 พ.ค. 2557

ขอบคุณคะและขออนุโมทนาสาธุคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 5 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลผู้ที่ยังมีกิเลส ยังเต็มไปด้วยกิเลสนานาประการ มีโลภะ โทสะโมหะ เป็นต้น ในชีวิตประจำวันจึงมีขณะที่ไม่สงบอย่างมากมาย เพราะเหตุว่ามีกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศล นี้เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ขณะใดที่จิตเป็นกุศล ขณะนั้นย่อมไม่สงบ แต่ในทางตรงกันข้าม ขณะใดที่จิตเป็นกุศล ขณะนั้นย่อมสงบจากกุศล เพราะกุศลกับกุศล จะไม่เกิดร่วมกันอย่างเด็ดขาด

ขณะที่ชอบหรือต้องการสถานที่เงียบสงบ นั่น คือ โลภะ กำลังทำกิจหน้าที่ เป็นธรรมที่มีจริงๆ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ขณะที่อยาก นั้น ไม่สงบ แต่ถ้ารู้ซึ่งความอยากตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม นั่น เป็นความสงบ เพราะเป็นกุศลและประกอบด้วยปัญญาที่เข้าใจถูกเห็นถูก ด้วย

การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมเกื้อกูลต่อการเจริญขึ้นของกุศลธรรม เมื่อปัญญาเจริญขึ้น เพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นเหตุทำให้สงบจากกิเลส สงบจากกุศล ตามระดับขั้นของความเข้าใจ จนกว่าจะถึงความเป็นผู้สงบจากกิเลส สงบจากกุศล โดยประการทั้งปวง เมื่อบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 5 พ.ค. 2557

โลภะติดความเงียบได้ แล้วแต่การสะสมแต่ละคน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
papon
วันที่ 6 พ.ค. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 7 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ