สงสัยเรื่องทางธรรมกับทางแพทย์ค่ะ
คือได้ฟังที่ท่านอาจารย์พูดทางเทปก็มีความเข้าใจว่าคนที่มีชีวิตนี่จะสามารถรับรู้ได้ เพราะมีจิตเป็นตัวรู้ แต่คนที่ตายแล้วก็ไม่สามารถรู้อะไรได้เลยเพราะไม่มีจิตใช่ไหมคะ แต่ทำไมทางการแพทย์บอกว่าว่าคนที่มีชีวิตเพราะว่าหัวใจยังเต้นอยู่ ถ้าตายแล้วหัวใจก็หยุดเต้น แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงไม่ใช่เหรอคะ เลยเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
อีกคำถามค่ะ จิตนี้เป็นตัวรู้ แล้วอะไรทำให้เราสามารถขยับตัวหรือเดิน จับนู้นนี้ได้คะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-ชีวิต โดยศัพท์ แปลว่า ความเป็นอยู่ เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้วไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ แต่ละขณะๆ ที่จิตเกิดขึ้นเป็นไป เรียกว่า ชีวิต, คำว่า ชีวิต มีความหมายหลายอย่าง ดังข้อความจากขุททกนิกาย มหานิทเทส ว่า “คำว่า ชีวิต ได้แก่ อายุ ความดำรงอยู่ ความดำเนินไป ความให้อัตภาพดำเนินไป ความเป็นไป ความหมุนไป ความบำรุงเลี้ยงรักษา ความเป็นอยู่ ชีวิตินทรีย์ (ชีวิตินทรีย์ มี ๒ อย่าง คือ ชีวิตินทริยรูป รูปที่ทรงชีวิต เกิดจากกรรม มีลักษณะรักษารูปที่เกิดขึ้นพร้อมกันให้มีชีวิตดำรงอยู่ได้ ทำให้รูปของสัตว์ที่มีชีวิตแตกต่างจากรูปของสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือสัตว์ที่ตายแล้ว และ ชีวิตินทริยเจตสิก เป็นเจตสิกธรรมที่เกิดขึ้นอนุบาลรักษาธรรมที่เกิดร่วมกันให้ดำรงอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะดับไป) " พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่าสังขารทั้งหลาย (สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง อันได้แก่ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป) ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นใจ, สังขารแม้อย่างหนึ่งที่เที่ยงนั้น ไม่มีเลย ชีวิตของแต่ละบุคคลก็ไม่พ้นจากสังขาร ทุกขณะของชีวิตเป็นสังขาร เนื่องจากว่ามีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ชีวิต จึงเป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และ รูปธรรม ซึ่งไม่มีใครจะสามารถยับยั้งได้เลย ครับ
ความตายในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ไม่รู้ เพราะในความเป็นจริงของชีวิตที่เกิดมา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้น สำหรับ ขณะที่เกิดในพระพุทธศาสนา คือ ขณะที่จิต เจตสิกเกิดขึ้น ในขณะที่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรม สำหรับการเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นผลของกรรมดี ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด ขณะนั้นเกิดแล้ว ในภพภูมิมนุษย์ อยู่ในครรภ์ เล็กมาก และ กรรมก็จัดสรรให้เป็นไป จนในที่สุด เมื่อถึงคราวที่ตาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตาย แต่เป็นจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น คือ ขณะที่จุติจิตเกิด ขณะนั้นชื่อว่า ตาย โดยสมมติว่า ตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น การตายในพระพุทธศาสนาที่เป็น สมมติมรณะ คือ ตายจากโลกนี้ไป เป็นในขณะที่จุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ เพราะหมดกรรมที่จะทำให้เป็นบุคคลนี้อีก ซึ่งไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้เลย เพราะฉะนั้น การสังเกตเพียงภายนอก หรือ เพียงวิทยาศาสตร์บัญญัติว่า หัวใจหยุดเต้น หรือ สมองตาย ไม่ได้หมายความว่า บุคคลนั้นตาย ตราบใดที่จุติจิตยังไม่เกิด ก็อาจมีจิตที่คิดนึกในเรื่องราวต่างๆ แม้ในขณะนั้น จะดูภายนอก ไม่รู้สึกตัวเลย หรือ อาจจะเกิดภวังคจิต ซึ่งเป็นจิตที่ดำรงภพชาติ ขณะนั้นก็หลับสนิทอยู่ ไม่รู้สึกตัวเลยในขณะนั้น แต่ก็ชื่อว่ายังไม่ตายเพราะ จุติจิตยังไม่เกิด ครับ
จึงกล่าวสรุปได้ว่า การมีชีวิตอยู่ คือ การมีจิต เจตสิกเกิดขึ้น ในภูมิที่มีขันธ์ 5 ส่วนผู้ที่จุติจิตเกิดแล้ว ร่างกายปราศจากการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ชื่อว่า ตายแล้ว สำคัญที่สุด ไม่ได้อยู่ที่ความหมายของชีวิตคืออะไร และ การมีชีวิตอยู่ และ ตายคืออะไรเท่านั้น แต่ ควรเข้าใจถูกว่า มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ครับ
ในพระพุทธศาสนา จึงได้แสดงสิ่งที่เป็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ไว้ว่า สาระของชีวิตมนุษย์นั้นคือ การเจริญกุศลทุกๆ ประการ และอบรมเจริญปัญญา ตามกำลังความสามารถเท่าที่จะทำได้ครับ เพราะในความเป็นจริง เมื่อบุคคลเกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่ติดตัวมา คือ การสะสมสิ่งที่ดีหรือไม่ดีในจิต และเมื่อบุคคลนั้นจะต้องตายจากไป ทรัพย์สมบัติก็ไม่ได้ติดตัวไปด้วย ลาภ สักการะก็ไม่ได้ติดตัวไปด้วย สิ่งเหล่านี้จึงไม่ใช่สาระและเป็นคุณค่าจริงๆ กับชีวิตในการแสวงหา เพราะเป็นของชั่วคราว ไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์กับบุคคลนั้นได้จริง แต่สิ่งที่จะติดตามบุคคลนั้นไปเมื่อตายแล้ว คือ กุศลกรรม และอกุศลกรรมที่ได้ทำไว้เท่านั้นครับ แต่อกุศลกรรม ไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าและเป็นสาระของชีวิตที่ได้เกิดเป็นมนุษย์เพราะนำมาซึ่งโทษ นำมาซึ่งความไม่เป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติอกุศลครับ ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยการทำอกุศลกรรม จึงไม่ใช่การมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าเลย แต่สิ่งที่มีค่า มีสาระ เพราะนำมาซึ่งประโยชน์และชำระล้างสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีค่าออกจากจิตใจ คือ กุศลธรรมและปัญญานั่นเองครับ ดังนั้น สิ่งที่มีค่าในการดำรงชีวิตอยู่คือ การเจริญกุศลและอบรมปัญญา ที่เป็นศีลสาระ สมาธิสาระและปัญญาสาระ และการใช้ชีวิตที่ประเสริฐอย่างมีคุณค่า คือ การมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา เพราะปัญญาย่อมเป็นเหมือนแสงสว่าง นำทางให้กับผู้ที่ดำรงชีวิตประจำวันในความเป็นมนุษย์ ให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ทั้งทางกาย วาจาและใจด้วยปัญญาเป็นผู้ชี้ทาง ดังนั้น การมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าและประเสริฐในพระพุทธศาสนา คือ การมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาครับ ซึ่งปัญญาจะมีได้ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น ชีวิตที่มีคุณค่า คือการเจริญกุศลทุกประการและอบรมปัญญา มีคุณค่าเพราะมีสิ่งที่มีคุณค่าเกิดที่ใจ คือ คุณความดีและปัญญาครับ ขออนุโมทนา
* * * * * * * * * * * * * * * * * *
คำถามที่ว่า
อีกคำถามค่ะ จิตนี้เป็นตัวรู้ แล้วอะไรทำให้เราสามารถขยับตัวหรือเดิน จับนู้นนี้ได้ค่ะ
@ ในความเป็นจริง ชีวิต ที่เป็นร่างกาย คือ การประชุมรวมกันของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมและ นามธรรม นั่นคือ จิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้นและดับไปแต่ละขณะ แสดงถึงความมีชีวิตและ ร่างกาย ดังนั้น เมื่อร่างกาย คือ การประชุมกันของสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา จึงไม่มีเราที่จะทำ ไม่มีเราที่จะทำให้ร่างกาย หรือ จิตใจ ทำงาน แต่เป็นสภาพธรรมที่ทำหน้าที่ของ จิต เจตสิก รูปที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น จึงเป็นปัจจัยให้มีการทำงานของร่างกาย มีการเคลื่อนไหว การพูด การทำกิจการงานต่างๆ เพราะ อาศัยจิตที่คิดนึก อาศัยเจตสิก ต่างๆ ที่เกิดร่วมกันในขณะนั้น เช่น มีความต้องการที่จะเดินที่เป็นโลภเจตสิก ที่เกิดกับจิต ครับ และ อาศัยรูปที่เป็นที่เกิดของจิต จึงมีการพูดเกิดขึ้นได้ และ ที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายได้ เพราะมีจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น มีความต้องการที่จะเคลื่อนไหว และ เพราะ อาศัย รูปธรรม มีธาตุลม เป็นต้น และ รูปธรรมอื่นๆ ทำให้มีการไหวไปเพราะ ธาตุลมเป็นปัจจัย และ อาศัย จิต และ เจตสิกที่ต้องการประสงค์ที่จะเคลื่อนไหว ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเป็นจริงของธรรม ใครๆ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือคัดค้านได้ ศาสตร์ทางการแพทย์ไม่สามารถอธิบายถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมได้ เพราะสภาพธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่จะเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงต้องอาศัยพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระองค์ทรงแสดงถึงความเป็นจริงของชีวิต คือ การเกิดดับสืบต่อกันของจิตแต่ละขณะ ชีวิตในชาติหนึ่งเริ่มต้นที่ปฏิสนธิจิต สิ้นสุดชีวิตในชาติหนึ่งที่จุติจิต ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย และตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ตายแล้วก็เกิดทันที ยังไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์
ในแต่ภพในแต่ละชาติ ที่มีการเคลื่อนไหวทำกิจการงานต่างๆ เดินทางไปไหนมาไหนได้ ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง ก็เพราะมีจิตและเจตสิกเกิดขึ้น โดยเกิดที่รูปอันเป็นที่เกิดของจิตและเจตสิก นั้น แสดงถึงความเป็นเหตุเป็นผลของธรรม เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...