โลก
โลก 4 โลกในพระไตรปิฎกกล่าวไว้มีรายละเอียดอย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โลก คือสภาพธรรมที่แตกสลาย แตกดับไป โลกตามความเป็นจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ไม่ได้หมายถึง โลกที่เราอยู่ที่เป็นสัณฐานกลม หรือเป็นโลกที่มีสิ่งต่างๆ มีต้นไม้ ภูเขา สิ่งต่างๆ อาศัยบนโลกใบนี้ นั่นไม่ใช่โลกที่เป็นสัจจะ ความจริง แต่เป็นโลกที่สมมติกันขึ้นมาว่าเป็นโลกครับ ที่เรียกว่าสัตวโลกและโอกาสโลก แต่โลกในวินัยของพระอริยเจ้าที่เป็นสัจจะ ความจริงหมายถึงสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นและดับไป แตกสลายไปเรียกว่าโลก ก็ต้องเข้าใจว่าอะไรคือสภาพธรรมที่มีจริง ต้นไม้ ภูเขา สัตว์ บุคคล ไม่ใช่สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงคือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม นามธรรม ก็เช่น จิต รูปธรรมก็เช่น ตา เสียง เป็นต้น สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมนี้เองที่เป็นโลก เพราะเกิดขึ้นและดับไป แตกสลายไป เสียง เกิดขึ้นและก็ดับไป จิต เกิดขึ้นและ ดับไป ส่วนคำถามที่ว่า โลก 4 คืออะไร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 362
สังขารโลก ตรัสไว้ในประโยคมีอาทิว่า โลก ๑ ได้แก่สัตว์ทั้งปวง ดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร. โลก ๒ ได้แก่นามและรูป. โลก ๓ ได้แก่ เวทนา ๓. โลก ๔ ได้แก่ อาหาร ๔.
เพราะฉะนั้น โลก 4 คือ อาหาร 4 ซึ่ง อาหาร 4 อาหาร โดยศัพท์ หมายถึง นำมา คือ เป็นปัจจัย หรือ นำมาซึ่งผล เพราะฉะนั้น สภาพธรรมอะไรก็ตาม ซึ่งนำมาซึ่งผล หมายถึง อาหาร อาหารจึงไม่ได้ หมายถึงอาหารที่เราบริโภคกันเท่านั้น แต่ อาหารมีความละอียด หลากหลายนัยดังนี้ ครับ
อาหาร มี 4 ประเภท ดังนี้
1.กวฬิงการาหาร หมายถึง รูปอาหารที่เป็นคำๆ ที่เราบริโภคเข้าไปส่วนที่จะเป็นประโยชน์หล่อเลี้ยงร่างกาย อาหารที่เป็นคำๆ นำมาซึ่ง โอชารูป
2.ผัสสาหาร หมายถึง ผัสสเจตสิก ซึ่งเป็นปัจจัยให้สัมปยุตธรรมเกิดขึ้น นำมาซึ่งเวทนา
3.มโนสัญเจตนาหาร หมายถึง เจตนาเจตสิกที่เป็นกรรม ทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม ย่อมนำมาซึ่งปฏิสนธิวิญญาณ (การเกิด)
4.วิญญาณาหาร หมายถึง ปฏิสนธิวิญญาณ ย่อมนำมาซึ่งนามรูป และอีกนัยหนึ่ง จิตอื่นๆ นำมาซึ่งผล คือ นาม รูป หรือว่า นาม หรือ รูป อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ไม่พ้นจากอาหารปัจจัยที่เป็นวิญญาณาหารด้วย ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อาหารทั้ง ๔ อย่าง นั้น เป็นไปเพื่อความดำรงอยู่ของหมู่สัตว์ผู้ที่เกิดแล้ว และเป็นไปเพื่ออุปการะเกื้อกูลแก่ผู้ที่ยังต้องมีการเกิดอยู่ (คือ ยังมีกิเลสอยู่) แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่ตราบใดก็ตามที่ยังมีการเกิด อันมีต้นตอมาจากการที่ยังมีอวิชชา ความไม่รู้อยู่ จึงยังต้องมีอาหาร ๔ อย่างนี้เกิดขึ้นเป็นไป มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น
สภาพธรรมที่เป็นอาหารปัจจัยเลี้ยงดู ค้ำจุนธรรมที่เกิดพร้อมกัน มี ๔ ประเภท คือรูปอาหารอย่างหนึ่ง และ นามอาหาร ๓ ต่างก็เป็นปัจจัยโดยนำมาซึ่งผล ตามสมควรแก่สภาพธรรมนั้นๆ กล่าวคือ
รูปอาหาร ก็นำมาซึ่งกลุ่มรูปที่มีโอชาเป็นที่ ๘, ผัสสาหาร อาหารคือ ผัสสะ นำมาซึ่งเจตสิกธรรมอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วย นำมาซึ่งจิต และ นำมาซึ่งรูปที่เกิดจากจิตในขณะนั้น เพราะถ้ากล่าวถึงเจตสิก ก็ต้องหมายรวมจิต และเมื่อกล่าวถึงจิต ก็ต้องหมายรวมเจตสิก ด้วย มโนสัญเจตนาหาร อาหารคือมโนสัญเจตนา ก็คือ เจตนาเจตสิกนั่นเอง นำมาซึ่งภพทั้งหลาย เพราะมีการกระทำที่เป็นกรรมอันเป็นบุญบ้างเป็นบาปบ้าง จึงทำให้มีการเกิดในภพต่างๆ มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป และถ้ากล่าวถึงในขณะที่เกิดพร้อมกัน ก็นำมาซึ่งเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย นำมาซึ่งจิต และ รูปที่เกิดจากจิตตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ
และ ประการสุดท้าย นามอาหารที่เป็นวิญญาณ คือ วิญญาณาหาร อาหารคือวิญญาณ ได้แก่จิต ไม่ใช่เฉพาะปฏิสนธิจิตเท่านั้น หมายรวมถึงจิตทุกขณะ ทุกประเภทในขณะที่จิตเกิดขึ้น นำมาซึ่งอะไร ก็นำมาซึ่งเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย นำมาซึ่งรูปที่เกิดจากจิต ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ เพราะยกเว้นปฏิสนธิจิต ทวิปัญจวิญญาณ อรูปวิบาก และจุติจิตของพระอรหันต์เท่านั้น ที่ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตตชรูป (รูปที่เกิดจากจิต)
สภาพธรรม ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย นั้น แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ในสภาพธรรมนั้นๆ ไม่ได้เลย เป็นการปฏิเสธความเป็นตัวตนสัตว์บุคคลอย่างสิ้นเชิง และสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป นั่นแหละ เป็นโลก ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...