การโกหก

 
ploy120656
วันที่  23 พ.ค. 2557
หมายเลข  24900
อ่าน  4,071

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หนูได้โกหกแฟนเพราะเดี๋ยวนี้แฟนไม่ค่อยรักและสนใจหนูเหมือนเดิม ชอบเอาตัวเองเป็นหลัก ทะเลาะกันทีไรหนูต้องเป็นฝ่ายผิดก่อนเสมอ ตลอด1ปีที่ผ่านมา หนูเลยโกหกแบบไม่ตั้งใจไม่ยั้งคิดออกไปว่าหนูเคยท้องกับเค้าประมาณ 1 เดือนแรกที่คบกัน แต่เด็กหลุดแล้วเพราะอะไรก็ไม่ได้พูดไป หนูเพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ว่าคำโกหกคำนี้มันบาปมาก บาปที่โกหกคนรัก และโกหกเพื่อผลประโยชน์ของตัวหนูเอง หนูจะทำยังไงดีคะ หนูรู้ว่าการโกหกเป็นบาป แต่จะมีวิธีไหนที่ทำให้หนูสบายใจไม่คิดมากกับทุกๆ เรื่องและมีทางออกทำให้หนูพูดความจริงได้โดยไม่โกหกอีก เพราะหนูรู้สึกผิดมากเวลาที่แฟนพาไปทำบุญให้ลูกของเรา ทั้งๆ ที่หนูไม่เคยมีลูก เรื่องทั้งหมดมันเป็นเรื่องโกหก


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การกล่าวเท็จทั้งๆ ที่รู้นั้น แสดงให้เห็นถึงกำลังของกิเลสในชีวิตประจำวัน ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะกล่าวเท็จก็ยังกล่าวได้ สำหรับกล่าวเท็จนั้น ถึงแม้ว่าบุคคลอื่นจะไม่รู้ แต่ตัวเองย่อมรู้ก่อนคนอื่นว่าตนเป็นคนกล่าวเท็จ การกล่าวเท็จพูดให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ล้วนมีเหตุปัจจัย คือ เพราะยังมีกิเลสอยู่นั่นเอง และการกล่าวเท็จนั้นเป็นวจีทุจริต เป็นอกุศลกรรม ผลอย่างหนักทำให้ไปเกิดในอบายภูมิ ถ้าเป็นผลอย่างเบา เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ย่อมทำให้ได้รับคำพูดที่ไม่จริงจากผู้อื่น, ขณะที่เป็นอกุศลนั้น ไม่เป็นประโยชน์ ไม่นำความสุขมาให้เลย มีแต่ให้เกิดทุกข์อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ควรแก้ปัญหาอย่างง่ายๆ ด้วยการกล่าวเท็จ เพราะที่กล่าวเท็จนั้น เป็นอกุศลของตนเอง ย่อมไม่ดี อย่างแน่นอน สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ควรเริ่มต้นใหม่ ด้วยกุศลธรรม เห็นโทษของอกุศล แม้จะเล็กน้อยก็ตาม รวมไปถึงการกล่าวเท็จด้วย กล่าวเท็จ ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็ตาม ล้วนเป็นอกุศล เป็นบาป เป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าจะว่าไปแล้ว คำจริง ควรจะเป็นคำที่พูดง่าย กว่าคำเท็จ ครับ

ซึ่งการมีเจตนาโกหก ตามที่ผู้ถามยกมานั้น แม้โกหกจริง แต่ไม่ได้ทำลายประโยชน์ให้ผู้อื่นเสียหาย มีทรัพย์สิน เป็นต้น จึงไม่ครบกรรมบถที่จะเป็นบาปให้ได้รับสิ่งไม่ดี สบายใจได้ในประเด็นนี้ ครับ

ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน หนาแน่นไปด้วยกิเลสอยู่ ก็ย่อมมีโอกาสที่จะกระทำผิด ที่เป็นอกุศลกรรมประเภทต่างๆ เป็นไปตามกิเลส ด้วยกันทั้งนั้น และ เป็นธรรมดาอีกที่เมื่อกระทำผิดลงไปแล้ว ก็ยังมีเหตุที่จะทำให้เกิดอกุศลตามมาอีกมากมาย มีความเดือดร้อนใจ ที่ได้พลาดกระทำสิ่งที่ไม่ดีลงไป เป็นธรรมที่่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น สำคัญอยู่ที่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้เห็นโทษของอกุศลกรรรม เห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดีมากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมเลย การที่จะเห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง ก็ย่อมจะมีไม่ได้ แต่เพราะยังมีกิเลสอยู่ ยังมีส่วนที่ไม่ดีอยู่มาก ก็จะต้องอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ

เราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่ขณะนี้ เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งที่จะได้สะสมเหตุใหม่ที่ดี ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา และน้อมประพฤติเฉพาะในสิ่งที่ถูกที่ควรเท่านั้น เมื่อเห็นว่าสิ่งใดที่ไม่ดี (หรือที่เคยกระทำไม่ดีลงไปแล้ว) ก็ไม่ทำผิดอย่างนั้นอีก หนทางที่จะเป็นไปเพื่อดับทุกข์ ดับความเดือดร้อนใจ วุ่นวายใจ และกิเลสทั้งหลายทั้งปวง คือ การอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่ด้วยวิธีอื่น ซึ่งจะต้องมีความอดทน จริงใจ ที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ต่อไป

ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกุลที่ดี เป็นเครื่องนำทางชีวิตจากที่เคยมากมายไปด้วยกิเลส มากมายไปด้วยการกระทำที่ผิด ไม่ดีมากมาย เป็นค่อยๆ ดียิ่งขึ้น คล้อยตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะหนทางของปัญญา เป็นเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมเท่านั้นจริงๆ ครับ

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 23 พ.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 23 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เป็นธรรมดาที่ว่าบุคคลผู้พูดเท็จ พูดไม่จริง พูดโกหก ก็เพราะว่ายังมีกุศลธรรมที่สะสมไว้ในจิตเป็นปัจจัยให้พูดเท็จ ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคลขึ้นไป ย่อมล่วงศีลข้อมุสาวาทได้ ตามกำลังของกิเลสที่ได้สะสมมา และที่สำคัญเมื่อเป็นกุศลกรรมบถที่ครบองค์แล้ว สามารถเป็นเหตุให้ผู้พูดเท็จไปเกิดในบายภูมิ ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานเดือดร้อนนานาประการ ยากที่จะพ้นไปได้

ในความเป็นจริงแล้ว ปกติในชีวิตประจำวันย่อมจะมีบ้างสำหรับการพูดในสิ่งที่ไม่จริง ซึ่งเป็นไปตามอำนาจของกิเลส ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่ก็ควรที่จะเห็นโทษของกุศลแม้เล็กน้อย เพราะเหตุว่ากุศลธรรมที่ได้สะสมไว้ในจิตจะเป็นเหตุให้กระทำกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริตได้ และกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว นั้น ไม่สูญหายไปไหน ย่อมสะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ เมื่อถึงคราวที่กุศลกรรมจะให้ผล ผลก็ย่อมเกิดขึ้น โดยเป็นผลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจ เพราะกุศลกรรมให้ผลเป็นทุกข์เท่านั้น ไม่สามารถให้ผลเป็นสุขได้เลย

เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันจึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา อบรมเจริญสติปัฏฐานพร้อมกับมีความเพียรที่จะละเว้น ขัดเกลา และรังเกียจกุศลธรรมทั้งปวง เพราะผู้มีสติย่อมมีความละอายที่จะไม่พูดเท็จ และละอายต่อกุศลธรรมทั้งปวง และต้องไม่ลืมว่า คำจริง พูดง่ายกว่าคำเท็จ เพราะไม่ต้องไปแสวงหาเรื่องอื่นๆ มาโกหก ครับ .

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 23 พ.ค. 2557

โกหกบางเรื่องทำให้ต้องโกหกตลอดไป (หลายครั้ง) และคำที่โกหกนอกจากทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน (..เช่นคิดว่าเขาทำผิดทำบาป) แล้วตนเองเกิดความละอายใจด้วย...เกิดอกุศลทั้งสองฝ่าย..ลองพิจารณาข้อความในกัสสปมันทิยชาดกกล่าวว่า.....

[๕๔๘] ผู้ใดรู้โทษที่ตนล่วงแล้ว ๑ ผู้ใดรู้แสดงโทษ ๑ คนทั้งสองนั้นย่อมพร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น ความสนิทสนมของเขาย่อมไม่เสื่อมคลาย.
------------------------------------------------------------------

รู้ตัวว่าผิดแล้วสารภาพผิด [กัสสปมันทิยชาดก]

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 29 พ.ค. 2557

ในพระปิฏกแสดงไว้ว่า คนที่พูดโกหกจะไม่ทำชั่วอย่างอื่นไม่มี ถ้าเห็นโทษของการล่วงศีล 5 ก็ให้ตั้งใจใหม่ว่าจะรักษาศีล 5 ให้ดี จะไม่พูดโกหกอีก ที่สำคัญต้องฟังธรรมะ ศึกษาธรรมะด้วยค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ