กุศลและอกุศล เกิดดับพร้อมกันหรือไม่

 
wkedkaew
วันที่  28 พ.ค. 2557
หมายเลข  24910
อ่าน  1,679

กุศลและอกุศล เกิดดับพร้อมกันหรือไม่

ขอบคุณค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ก่อนอื่นก็ต้องมีความเข้าใจในคำที่กล่าวถึงอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เป็นการศึกษาธรรมทีละคำ คือ คำว่า อกุศล และ กุศล คำว่า อกุศล หมายถึงสภาพธรรมที่ไม่ดี เป็นความชั่ว เป็นธรรมที่ให้ผลเป็นทุกข์ เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่กุศล เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เมื่อกล่าวโดยสภาพธรรมแล้ว ได้แก่ อกุศลจิตและเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ตัวอย่างขณะที่เป็นอกุศล เช่น ติดข้อง ไม่พอใจ ตระหนี่ ริษยา ไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง เป็นต้น ส่วนกุศล ก็เป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกับอกุศลคือ เป็นธรรมที่ดีงาม เป็นความดี ไม่มีโทษภัยใดๆ เป็นธรรมที่ให้ผลเป็นสุข ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ได้แก่กุศลจิตและเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ตัวอย่างขณะที่เป็นกุศล เช่นมีเมตตา ฟังพระธรรมเข้าใจ ช่วยเหลือผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นต้น

ซึ่งในความเป็นจริงของสภาพธรรม ต้องเกิดดับไปทีละขณะ ไม่ปะปนกัน คือ ขณะที่กุศลจิตเกิด เช่น เมตตาเกิด อกุศลจิตย่อมไม่เกิดพร้อมกับ กุศลจิตในขณะนั้น เช่น เมตตาเกิด โกรธจะเกิดพร้อมเมตตาไม่ได้ แต่เมื่อ กุศลจิตดับไแล้ว อกุศลจิตก็สามารถเกิดต่อได้ เช่น ฟังธรรมเข้าใจ ขณะที่เข้าใจเป็นกุศล กุศลจิตดับไป อกุศลเกิดต่อ คือ ดูหมิ่นคนที่ไม่เข้าใจ เป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงกล่าวสรุปได้ว่า กุศล อกุศลเกิดพร้อมกันไม่ได้ แต่เกิดทีละขณะ คือ อกุศลจิตเกิด และ ดับไปกุศลจิตเกิดต่อได้ กุศลจิตเกิด และ ดับไป อกุศลจิตเกิดต่อได้ คนละขณะกัน ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wkedkaew
วันที่ 28 พ.ค. 2557

กราบขอบพระคุณค่ะอาจารย์

สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 28 พ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา นั้น เป็นไปเพื่ออุปการะเกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา และมีความเข้าใจไปตามลำดับอย่างแท้จริง แม้แต่ในเรื่องของอกุศล นั้น พระองค์ก็ทรงแสดงไว้เป็นอันมากทีเดียว เพื่อให้พุทธบริษัทได้เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลในชีวิตประจำวัน ถ้าไม่ทรงแสดงไว้ ก็ไม่สามารถที่จะระลึกถึงอกุศลของตนเองเพื่อการขัดเกลาได้เลย ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงแสดงไว้อย่างนี้หรือมากยิ่งกว่านี้ แต่ผู้ที่มีกิเลสก็ไม่สามารถที่จะละอกุศลนั้นได้ ถ้าปัญญาไม่เจริญขึ้นจนสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้วดับอกุศลได้เป็นขั้นๆ ตามลำดับ

ถ้าโลภะเกิดหรือถ้าโทสะเกิดแล้วจะให้กายวาจาเป็นกุศล ก็ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากว่าอกุศล เป็นสภาพธรรมที่ทำให้ประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควรต่างๆ มากมาย ซึ่งผู้ที่มีความประพฤติที่ไม่สมควรต่างๆ นั้น ก็เพราะว่า ไม่ได้คล้อยตามพระพุทธพจน์ ไม่ได้น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมนั่นเอง แต่ถ้าเป็นผู้ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ความประพฤติที่ถูกต้องดีงาม ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น

ความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงชาติ คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของจิต ว่า มี ๔ ชาติ คือ จิตเกิดขึ้นเป็นอกุศล (อกุศลชาติ) จิตเกิดขึ้นเป็นกุศล (กุศลชาติ) จิตเกิดขึ้นเป็นวิบาก (วิบากชาติ) จิตเกิดขึ้นเป็นกิริยา (กิริยาชาติ) จิตจะไม่เกิดพร้อมกัน ๒ - ๓ ขณะ แต่เกิดทีละขณะ และมีเจตสิกธรรมเกิดร่วมด้วยตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ ขณะที่จิตเป็นอกุศล ก็มีอกุศลเจตสิกประการต่างๆ เช่น โลภะ เป็นต้น เกิดร่วมด้วย จะไม่มีเจตสิกฝ่ายดี เกิดร่วมด้วยเลย ในทางตรงกันข้าม ถ้าจิตเป็นกุศล ก็มีเจตสิกฝ่ายดีประการต่าง ๆ มีศรัทธา สติ หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ เป็นต้นเกิดร่วมด้วย จะไม่มีเจตสิกที่เป็นอกุศลเกิดร่วมด้วยได้เลย นี้คือความเป็นจริง และทั้งหมด คือ ชีวิตประจำวัน ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 28 พ.ค. 2557

กุศล อกุศล ไม่เกิดพร้อมกัน แต่ กุศล อกุศล เกิดดับคนละขณะ สลับกันได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 29 พ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ