เห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตา
เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"เห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตา" ขอความอนุเคราะห์อาจารย์กรุณาให้อรรถาธิบายในประโยคข้างต้นด้วยครับ
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คำว่า เห็น กับ สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นคำพูดภาษาไทยที่ส่องให้เข้าใจตัวจริงของสภาพธรรม ซึ่งมีลักษณะจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงคำหรือชื่อเท่านั้น เพราะเหตุว่าในภาษาบาลี หรือ ภาษาของชาวมคธ ซึ่งเป็นภาษาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้ในการประกาศพระศาสนา ไม่มีคำว่า "เห็น" แต่มีคำว่า "จักขุวิญญาณ" ไม่มีคำว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่มีคำว่า "รูปารัมมณะ, วัณณะ, รูปะ" เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสภาพธรรมที่ต่างกัน คือ เป็นนามธรรม (สภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์, รู้อารมณ์ ได้แก่ จิต และ เจตสิก) กับ รูปธรรม (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) เห็น กับ สิ่งที่ปรากฏทางตา ต่างกันอย่างแน่นอน เพราะ เห็น เป็นนามธรรม เป็นจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นผลของกรรม เกิดขึ้นที่จักขุปสาทะ แล้วดับไป เพียงชั่วขณะสั้นๆ เท่านั้น และเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ก็จะต้องมีเจตสิก ๗ ประเภทเกิดร่วมด้วย คือผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ และ มนสิการะ ทั้งจิตเห็น และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เป็นธรรม เป็นนามธรรม ไม่ใช่เรา ส่วนสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นรูปธรรมประเภทหนึ่ง ไม่รู้อารมณ์เหมือนอย่างนามธรรม สภาพธรรมที่มีจริง มี 2 ประเภท คือ นามธรรมและรูปธรรม
นามธรรมมี สภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก และนิพพาน
รูปธรรมคือ สภาพธรรมที่เป็นรูป
นามธรรมโดยทั่วไปแล้ว หมายถึง สภาพธรรมที่รู้ ธาตุรู้
จิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้
เจตสิกเป็นสภาพธรรมที่ปรุงแต่ง ปรุงแต่งจิตนั่นเองคือเมื่อเกิดขึ้นก็เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิตและที่สำคัญ เจตสิกก็เป็นสภาพธรรมที่รู้ด้วย เช่นเดียวกับจิต คือ รู้อารมณ์เดียวกับจิต แต่ไม่ได้เป็นใหญ่ในการรู้ เจตสิกมีหลายประเภท ทำหน้าที่ต่างๆ กันไป เช่น สัญญา เป็นเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่จำ เป็นต้น
รูปธรรม หรือ รูป เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่มีรู้อะไรเลย
จิตมีหลายประเภท เพราะเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยหลากหลายครับ จิตมีทั้งหมด 89 ประเภท แต่โดยละเอียดมี 121 ประเภท จิตแบ่งตามลักษณะการเกิด ตามชาติของจิต จิตมี 4 ชาติ คือ ชาติกุศล ชาติอกุศล ชาติวิบาก (ผลของกรรม) และชาติกิริยา เป็นต้น
รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย รูปธรรมหรือรูป ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่จับต้องเห็นได้นะครับ จึงจะเป็นรูปหรือรูปธรรม แต่สภาพธรรมใดที่ไม่รู้อะไรเลย สภาพธรรมนั้นแม้จะเห็นได้หรือเห็นไม่ได้ก็ต้องเป็นรูปทั้งนั้นครับ รูปมีทั้งหมด 28 รูป เช่น ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา เป็นต้น จะเห็นนะครับว่า รูปคือสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ยกตัวอย่างเช่น สภาพธรรมที่แข็ง (ธาตุดิน) แข็งเมื่อมีใครไปกระทบ แข็งไม่รู้สึกอะไร แข็งไม่รู้อะไร แข็งไม่ปวด ไม่เจ็บ ไม่หนาวไม่ร้อน เพราะแข็งเป็นรูป เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ ไม่รู้อารมณ์อะไรเลยครับ ต่างจากจิตที่เป็นสภาพธรรมที่รู้ รู้อารมณ์ รู้สิ่งต่างๆ ครับ เห็นเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ใครเห็น ไม่ใช่เราเห็น เป็นธรรมที่ทำหน้าที่เห็น เมื่อเห็นเกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น ดังนั้น สภาพเห็นจึงเป็นสภาพรู้ เพราะรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ในขณะนั้นที่เห็นครับ เพราะฉะนั้น เห็นจึงเป็นสภาพธรรมที่เป็นจิต เป็นสภาพรู้ เมื่อเป็นจิตแล้วจึงเป็นนามธรรมครับ ซึ่งจิตเห็นเป็นจิตประเภทหนึ่ง เรียกว่า จักขุวิญญาณจิต หรือเรียกว่าจิตเห็นก็ได้ อันเป็นจิตชาติวิบาก คือ เป็นผลของกรรมนั่นเองครับ ขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้น ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น เจตสิกก็เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้เช่นกัน และเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น สิ่งที่ถูกเห็น หรือ สิ่งที่ถูกจิตรู้ ภาษาธรรมเรียกว่า อารมณ์ ดังนั้นเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ต้องมีอารมณ์ หรือมีสิ่งที่จิตเห็นรู้ในขณะนั้น สิ่งที่ถูกจิตเห็นรู้คืออะไร จิตเห็นจะรู้เสียงได้ไหม ไม่ได้ครับ จิตเห็นรู้กลิ่นก็ไม่ได้ครับ ดังนั้น สิ่งที่จิตเห็นรู้ ขณะนี้กำลังเห็นก็คือ สีนั่นเองหรือเรียกว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา
จิตเห็นจึงทำหน้าที่รู้ รู้สี หรือ รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา จิตเห็นจึงเป็นนามธรรม เพราะนามธรรมคือสภาพรู้ ขณะเห็น ขณะนั้นกำลังรู้ คือ รู้สีหรือรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา สีหรือสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นอารมณ์ คือ เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ คือ จิตเห็นรู้ในขณะนั้นครับ
คำถามต่อไปก็คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกจิตเห็นรู้ เป็นสภาพธรรมอะไร เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม
สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือ สี รู้สึกอะไรไหมครับ สิ่งที่ปรากฏทางตา คิดนึกได้ไหม รู้สึกหนาวร้อนไหม คำตอบคือ สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือ สีไม่รู้อะไรเลย เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ ดังนั้นเมื่อเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร จึงเป็น รูปธรรมนั่นเองครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องฟังพระธรรมต่อไป ไม่มีหนทางอื่น ในเมื่อธรรมะความจริงก็คืออย่างนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ก็ต้องเป็นรูปชนิดหนึ่งสามารถปรากฏเมื่อกระทบกับจักขุปสาท (ตา) โดยมีกรรมเป็นปัจจัยทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น สิ่งที่ควรรู้ ก็รู้อย่างนี้ และกำลังปรากฏอย่างนี้ แต่เพราะความไม่รู้ที่สะสมมามีมาก ก็ต้องฟังจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าสภาพที่ปรากฏก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมะ ไม่ใช่ใครอื่นใดเลย เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น เห็นก็เป็นธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง คือ เป็นจิตประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นทำกิจเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์บุคคลที่เห็น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...