ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๕

 
khampan.a
วันที่  1 มิ.ย. 2557
หมายเลข  24928
อ่าน  2,488

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๕

ชาตินี้ อาจจะเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยชาติ ตระกูล โภคสมบัติ รูปสมบัติ วิชาความรู้ บริวารสมบัติ ทุกสิ่งทุกประการ แต่ว่าภพหน้า ชาติหน้า จะเป็นใคร จะมีรูปสวย รูปงาม มีทรัพย์สมบัติมาก เกิดในสกุลที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ ข้าทาสบริวาร หรือเปล่า อาจจะตรงกันข้ามเลยก็ได้ เพราะฉะนั้น การที่ระลึกถึงความตาย เห็นความไม่เที่ยง ก็ย่อมจะทำให้ท่านละคลายแม้ความติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในสมบัติของท่าน ซึ่งเคยถือว่า เป็นของเรา และนอกจากนั้นก็ยังทำให้เกิดละคลายมานะ การถือตน การสำคัญตน หรือความผูกพันในสัตว์ ในบุคคล ซึ่งเป็นที่รัก ในสิ่งของที่เป็นที่รักได้ จึงจะเป็นกุศล แต่ถ้าคิดถึงแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย อะไรก็ไม่ได้ละ อะไรก็ไม่ได้คลาย จะกล่าวว่าเป็นมรณานุสสติ เป็นกุศลจิตได้อย่างไร
ทุกท่าน ไม่มีเครื่องหมายที่จะให้รู้เลยว่า ชีวิตของใครจะอยู่ต่อไปถึงพรุ่งนี้

หรือว่าเดือนหน้า หรือว่าปีหน้า ไม่มีเครื่องหมายให้รู้ว่า จากที่นี้ไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น จะเป็นสุข หรือว่าจะเป็นทุกข์ จะประสบกับอิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าปรารถนา) หรืออนิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา) จะมีอุบัติเหตุ หรือไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะว่าชีวิตไม่มีเครื่องหมาย ใครๆ ก็รู้ไม่ได้

จิตเป็นใหญ่ในการรู้ เกิดไม่ได้เลยถ้าไม่มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นจิตจึงต่างกันไป จิตที่เป็นกุศล เมื่อโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตที่เป็นอกุศล เมื่ออกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตที่เป็นกิริยา มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่เจตสิกนั้นไม่ใช่กุศล และไม่ใช่อกุศล และจิตที่เป็นวิบาก ก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ตามควรแก่วิบากจิตประเภทนั้นๆ

การให้ผลของกรรม จะทางตาเห็นก็ได้ ทางหูได้ยินก็ได้ ทางจมูกได้กลิ่นก็ได้ ทางลิ้นลิ้มรสก็ได้ ทางกายกระทบสัมผัสก็ได้ เลือกได้ไหมว่า ขอให้กรรมให้ผลทางนี้เถิด อย่าให้ผลทางอื่นเลย เอากุศลวิบากทางตา ไม่เอาทางอื่น หรือเอากุศลวิบากทางลิ้น ไม่เอาทางอื่น เลือกไม่ได้เลย

เราศึกษาเพื่อให้เข้าใจความจริงว่า เป็นธรรม เป็นธาตุ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงบังคับบัญชาไม่ได้ เพื่อละความเป็นเรา ไม่ใช่เรียนเพื่อให้เราได้มีอะไรดีๆ มีกุศลวิบากดีๆ ได้มีกุศลจิตมากๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่เรียนเพื่อให้เราดี หรือให้สิ่งที่ดีนั้นเป็นของเรา แต่เรียนเพื่อให้รู้ว่า ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด ทุกอย่างเป็นธาตุ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย

บางคนเป็นทานุปนิสัย อุปนิสัยในทาน ง่าย สะดวก รวดเร็ว บางคนก็มีสีลุปนิสัย (อุปนิสัยทางศีล) อาจจะเป็นผู้ที่ไม่ได้ให้ทานคล่องแคล่วรวดเร็วมากอย่างผู้ที่เป็นทานุปนิสัย แต่กายวาจาดี ไม่เคยที่จะกล่าวร้าย หรือพูดคำที่ทำให้คนอื่นไม่สบายใจ อันนั้นก็จะเห็นได้ และยังต้องมีภาวนุปนิสัย ด้วย คือ การอบรมเจริญปัญญา ที่จะค่อยๆ เข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม

สภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับโทสะ ก็คืออโทสะ และอโทสะเป็นเจตสิกที่เกิดกับโสภณจิตทั้งหมด แต่เวลาที่เป็นเมตตา จะมีสัตว์ บุคคล เป็นอารมณ์ ขณะนั้นเราก็จะได้รู้ว่า วันหนึ่งๆ เราคิดถึงใครบ้างตลอดเวลา แม้ในขณะนี้ก็เห็นเป็นคน และจิตขณะนี้มีเมตตา มีความอ่อนโยน พร้อมที่จะเกื้อกูลบุคคลนั้นๆ หรือเปล่า นี่คือเข้าใจลักษณะของเมตตา และก็รู้ตามความเป็นจริงว่า เมตตาตรงกันข้ามกับโทสะ

จิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เร็วมาก เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ เดี๋ยวเป็นวิบาก เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล เดี๋ยวเป็นกิริยา ไม่มีใครสามารถจะไปจัดแจงลำดับการเกิดของจิตให้เป็นอย่างที่ต้องการได้ แต่ละขณะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น

ค่อยๆ เข้าใจธรรมจากชีวิตจริง จากสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เพราะแต่ละคนเลือกไม่ได้ แล้วแต่ว่ามีปัจจัยให้สภาพธรรมใดเกิด ก็เกิดแล้วก็หมดไป ก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยเท่านั้นเอง ไม่มีเราที่ยั่งยืนเลย เป็นสภาพธรรมแต่ละขณะที่มีเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

แต่ละคนคิดนึกต่างกันมากเลย คนที่มีความเห็นผิด จะให้คิดด้วยปัญญาที่เห็นถูก ไม่ได้ และคนที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง จะให้กลับไปคิดอย่างคนที่มีความเห็นผิด ก็ไม่ได้

โมหะจะไม่เกิดกับวิบากจิตใดๆ ทั้งสิ้น ขณะใดที่อกุศลเจตสิก ๑ ใน ๑๔ เกิด จิตนั้นต้องเป็นอกุศลเท่านั้น เป็นอย่างอื่นไม่ได้

ธรรมไม่ใช่เรา ธรรมเป็นอนัตตา เกิดภพไหนชาติไหน ก็สะสมความมั่นคงที่จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม ซึ่งไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ สร้างไม่ได้ ไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ให้ดับไปไม่ได้ แต่สามารถค่อยๆ เข้าใจความจริงของธรรมแต่ละลักษณะที่ปรากฏได้

สนใจปฏิบัติ หรือว่าสนใจที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้? ต้องคิดแล้วมิฉะนั้นแล้ว ก็จะผิดทางอีก
ไม่มีใครสามารถที่จะไปหยุดยั้งปัจจัยที่ทำให้เกิดการเห็น ซึ่งเป็นกิจการงานอย่างหนึ่ง จิตเกิดขึ้นทำอะไร ทำกิจเห็น ต้องเห็น ขณะนี้ทำกิจแล้ว คือ เห็น มีปัจจัยที่จะทำให้จิตได้ยินเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งไม่ให้จิตได้ยินเกิดขึ้น เมื่อมีปัจจัย จิตก็เกิดขึ้นกระทำกิจได้ยิน เป็นการทำงานแต่ละขณะจิตจริงๆ ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ถ้ายังโกรธคนนั้นคนนี้อยู่ แล้วจะมีความยินดีด้วย (มุทิตา) เมื่อผู้อื่นได้ดีมีความสุขได้อย่างไร

โทสะ เป็นข้าศึกภายในที่ประทุษร้ายทันทีที่เกิดขึ้น ตลอดระยะเวลาอันยาวนานในสังสารวัฏฏ์นั้น ตามความเป็นจริงแล้วเราไม่ได้ถูกใครประทุษร้ายเบียดเบียนเลย นอกจากโทสะซึ่งเป็นสภาพที่ประทุษร้าย ซึ่งเป็นกิเลสของเราเอง
ถ้าแต่ละบุคคลมีความคิดว่า “ความไม่ดีที่กำลังมีนั้นเป็นความไม่ดีของเราเอง แล้วจะหมดไปได้ จะชนะได้ ก็ด้วยความดีเกิดขึ้นในขณะนั้น ความดีเท่านั้น ที่จะชนะความไม่ดีได้” ถ้าระลึกได้อย่างนี้ ในขณะนั้นความดีก็จะเกิดขึ้นทันที เจริญขึ้นทันที เป็นความเจริญขึ้นแห่งกุศลธรรมอย่างแท้จริง

ความเพียรที่เป็นไปกับการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา พร้อมทั้งเจริญกุศลทุกๆ ประการ เป็นความเพียรที่ควรประกอบ ควรอบรมให้มีขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะคล้อยไปสู่การดับกิเลสได้ในที่สุด

ความตายอาจจะเกิดตอนไหนก็ได้ เกิดมาเพื่ออยู่ชั่วคราวจริงๆ

ชีวิต ไม่พ้นไปจาก เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย คิดนึกกุศล อกุศล ซึ่งเป็นธรรม ทั้งหมด

ชาตินี้ ก็จะเป็นชาติก่อนของชาติหน้า ถ้าไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรมและความดีในชาตินี้ ชาติต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้อีก ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลย

ขณะใดที่จิตใจเดือดร้อน กระวนกระวาย กระสับกระส่าย ไม่มีเมตตาคนอื่น ยังโกรธคนอื่นอยู่ ขณะนั้น ฟังพระธรรมไม่รู้เรื่อง.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๔ [สัปดาห์ที่ ๑๔๔]

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 1 มิ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

@ ถ้ามีเราที่จะทำแฝงอยู่ จะเป็นคนดี จะทำดี ก็ผิดหนทาง

@ ยาก คือ เป็นปกติ เพราะ ธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย ยาก เพราะ เป็นปกติ เพราะเป็น อนัตตา

@ ขณะนี้ ตั้งแต่ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ทุกขณะ เป็นธรรมเท่านั้น

@ โลภะเกิดขึ้นเป็นปกติ จะน้อยจะมากเท่าไหร่ ก็เป็นธรรม จนกว่าจะรู้จริงๆ ค่ะ

@ ไม่มีใคร สามารถบังคับความคิด กะเกณฑ์ด้วยตัวตน ได้เลย เพราะ สติก็เป็นอนัตตา แล้วแต่ปัจจัย ค่ะ

@ เห็นเพื่อลืม เข้าใจจริงๆ ก็จะค่อยๆ ละคลายได้

@ โลภะมาอีกแล้ว ฟังพระธรรมแล้วอยากจะรู้ อยากจะมีสติ ก็เป็นตัวตนที่อยาก สิ่งที่กำลังปรากฏยังไม่รู้ แล้วจะหวังอะไร ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจในสิ่งที่กำลัง ปรากฏ ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นของจริง แต่ละขณะเป็นของจริงดับไปแล้วไม่ กลับมาอีกเลย ฟังเพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลังฟัง ขณะที่ฟังพระธรรมแล้วเข้า ใจขณะนั้นมีสติเกิดร่วมด้วยแล้ว โดยไม่ต้องไปอยากจะมีสติ การฟังนั้นฟังเพื่อเข้าใจ เข้าใจก็หมดไป สภาพธรรมอื่นก็เกิดต่อ เข้าใจใหม่อีก จนกว่าจะมีปัจจัยให้สติ เกิดรู้ได้ เป็นอนัตตาจริงๆ ไม่มีใครบังคับให้สภาพธรรมใดเกิดขึ้น หรือไม่ให้เกิด ขึ้นได้ ขณะที่เข้าใจธรรมขณะนั้นมีสติ โลภะจะอยู่ตรงนั้นไม่ได้

@ พระธรรมทุกคำ ชำระจิตจากความไม่รู้

@ ฟังแล้วอยากต้องการ แต่ทุกอย่าง เป็นไปตามกำลังของธรรมทั้งหมด

@ มีเราทำดีมีเราที่ทำชั่ว มีเราที่ละเว้นที่ทำชั่ว ก็มีเราไปตลอดสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึงแตกต่าง จากคนทั่วไป คือ ไม่มีเรา มีแต่ธรรม ไม่มีเราที่ทำชั่ว ไม่มีเราที่เว้นจากการทำชั่ว

@ ไม่มีใครทำอะไรได้เลย ไม่ว่าทำดี ละชั่ว เพราะเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย

@ ชำระจิตใครชำระ ต้องไม่ใช่เรา เมื่อไหร่เข้าใจว่าเป็นธรรม ขณะนั้น ชำระจิตด้วยความ เห็นถูก ถ้าเกิดความต้องการแล้ว เกิดแล้ว หนทางที่ถูก คือ เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่ไปมี ตัวตนที่จะไปละความต้องการ

@ อย่าหาวิธีไม่ให้โกรธเลย เพราะ ยังไงก็ต้องโกรธ และ ยังเป็นเราแท้ๆ แล้วจะไม่ให้ โกรธได้อย่างไร เพราะฉะนั้น หนทางที่จะละความโกรธมีหนทางเดียว เข้าใจว่าโกรธ เป็นธรรมไม่ใช่เรา

@ โกรธใคร ในเมื่อมีแต่ธรรมไม่ใช่เรา และเป็นแต่เพียงธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้น

@ ฟังเพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่เพื่อจะได้ลาภสักการะ สรรเสริญ ไม่ใช่เพื่อละกิเลสใน ทันทีทันใด หรือฟังเพื่อที่จะได้เจริญสติ ให้สติเกิดมากๆ ธรรมะไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ สิ่งที่ มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ก็ยังไม่เข้าใจ กิเลสก็ยังไม่รู้จัก แล้วจะไปละกิเลสได้ อย่างไร สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏยังไม่รู้ แล้วจะหวังอะไร เดี๋ยวนี้สิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แค่นี้พอไหม

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 1 มิ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเปล่า?

นับถือ แล้วฟังธรรมะหรือเปล่า?

ถ้าไม่ฟัง ชื่อว่านับถือหรือเปล่า?

.........

กราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่น อักษรวิลัย

และ คุณ เผดิม ยี่สมบุญ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 2 มิ.ย. 2557

เป็นลาภอันประเสริฐยิ่ง

ที่มีโอกาสได้รับรสพระธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์

โดยความอุปการะเกื้อกูลของ ชาว มศพ. ทุกท่าน

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ด้วยความเคารพยิ่ง

จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 2 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 2 มิ.ย. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 3 มิ.ย. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 3 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 5 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
napachant
วันที่ 7 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
มังกรทอง
วันที่ 9 ก.ย. 2564

เราศึกษาเพื่อให้เข้าใจความจริงว่า เป็นธรรม เป็นธาตุ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงบังคับบัญชาไม่ได้ เพื่อละความเป็นเรา ไม่ใช่เรียนเพื่อให้เราได้มีอะไรดีๆ มีกุศลวิบากดีๆ ได้มีกุศลจิตมากๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่เรียนเพื่อให้เราดี หรือให้สิ่งที่ดีนั้นเป็นของเรา แต่เรียนเพื่อให้รู้ว่า ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด ทุกอย่างเป็นธาตุ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ