พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเรื่องการเกิดขึ้นของจิตดวงแรกไว้หรือไม่ เพราะเหตุใด ?
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ
กรุณาเกื้อกูลให้ความกระจ่างเพื่อเป็นธรรมทาน คิดว่าคงมีผู้ศึกษาธรรมอีกมากมายที่ยังสงสัยในเรื่องนี้เช่นกัน:-
เรื่องการเกิดขึ้นของจิตดวงแรกก่อนจะมีการเวียนว่ายในวัฏฏะฯนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเรื่องนี้ไว้หรือไม่
เพราะเหตุใด? (ต้องกราบขออภัยหากคำถามไม่เหมาะสม)
กราบขอบพระคุณอย่างสูง
"สัตตานัง"
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิต จิตมาจากไหน จิตเพราะอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เพราะอาศัยสภาพธรรมหลายๆ อย่าง เช่น อาศัยเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมกัน ร่วมกัน จึงเกิดขึ้น และอาศัยที่เกิดของจิต คือ วัตถุ 6 ประการ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ หทยรูป จึงทำให้จิตเกิดขึ้น ดังนั้น วิญญาณ หรือ จิต ไม่ได้มีอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะอาศัยเหตุปัจจัยหลายๆ ประการจึงเกิด วิญญาณ หรือ จิตเกิดขึ้นตามที่กล่าวมา ไม่มีใครบันดาล หรือ สร้าง จิต หรือ วิญญาณ แต่อาศัยธรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้นครับ และอีกนัยหนึ่ง วิญญาณ หรือ จิต เกิดขึ้นได้และยังมีปัจจัยให้เกิดวิญญาณ หรือ จิตเกิดดับสืบต่อไป ไม่ขาดสาย ที่เรียกว่า สังสารวัฏฏ์ เพราะ มีกิเลส มีอวิชชา คือ ความไม่รู้ เมื่อมีความไม่รู้ ก็มีการทำกรรม ที่เป็นกรรมดี และไม่ดี เมื่อมีการทำกรรมดี และไม่ดี ก็มีการให้ผลของกรรม ทำให้เกิด จิต เจตสิก เกิด วิญญาณ คือ จิตประเภทต่างๆ เกิดขึ้น วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะ อาศัย อวิชชา คือ ความไม่รู้นั่นเองครับ ดังนั้น กำเนิดของวิญญาณ คือ จิต จึงไม่พ้นจาก อวิชชาความไม่รู้ ครับ
ส่วนจุดเริ่มต้นของ การเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่เป็น วิญญาณ คือ จิต รวมถึงเจตสิกหาเบื้องต้นไม่ได้ เพราะสังสารวัฏฏ์หาที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ ครับ ด้วยความยาวนานของสังสารวัฏฏ์ครับ แต่สรุปได้ว่า เพราะมีเงื่อนเบื้องต้น คือ อวิชชา ความไม่รู้ จึงมีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมต่างๆ ครับ
ดังนั้น ที่ไม่แจ่มแจ้ง เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่า จิตดวงแรกเกิดเมื่อไหร่ เพราะสุดวิสัยของปัญญา เพราะเกิดมานับไม่ถ้วน ไม่สามารถระลึกย้อนไปถึงได้ ครับ เพียงแต่ว่า จิตเกิดขึ้นเพราะอาศัยความไม่รู้เป็นปัจจัย และแม้จะมีผู้กล่าวว่า จิต เกิดขึ้นอย่างนี้ จิตดวงแรก เป็นอย่างนี้ ก็ย่อมนำมาซึ่งความสงสัยอยู่ดี เพราะ ตัวเองก็ไม่ประจักษ์เช่นนั้น พระพุทธองค์จึงทรงไม่แสดง สิ่งที่พวกเราทั้งหลายประจักษ์ไม่ได้ และเหลือวิสัยอันนำมาซึ่งกิเลสเกิดขึ้น คือความลังเลสงสัยว่าจริงหรือไม่ แต่พระองค์ทรงแสดงสิ่งที่สำคัญ อันเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ละคลายกิเลส เป็นประโยชน์จริงๆ คือ เหตุเกิดของจิต เจตสิก รูปที่เป็นตัวทุกข์ คือ อวิชชาและแสดงหนทางดับทุกข์ คือ อริยมรรคมีองค์ 8 ดังนั้น สำคัญที่รู้ที่ตัวเหตุให้เกิด จิต เจตสิก และเกิดสังสารวัฏฏ์ การวนเวียนเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ครับ เพราะ เมื่อรู้เหตุ คือ อวิชชา ความไม่รู้ และตัณหา จึงอบรมปัญญา เพื่อดับเหตุ ก็จะพ้นจากทุกข์ คือ การเกิดขึ้น ของจิต เจตสิก และรูป ครับ
ดังนั้น การคิดที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์ อันเป็นไปเพื่อละคลายกิเลส คือ คิดในหนทางที่จะละการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก ซึ่งก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังมีอวิชชา ความไม่รู้ อีกทั้งยังมีตัณหา ความติดข้อง ยินดีพอใจเป็นเครื่องผูกไว้ จึงยังมีการเกิดอยู่ร่ำไป ท่องเที่ยววนเวียนไป จากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอย่างไม่มีวันจบสิ้น ที่สุดของสังสารวัฏฏ์ย่อมไม่ปรากฏ
ซึ่งแต่ละบุคคลก็ได้เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เคยเป็นมาแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระราชา คนมั่งมี คนตกทุกข์ได้ยาก คนมีความสุข เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นเปรต เป็นต้น จิตขณะแรกของในแต่ละชาติ คือ ปฏิสนธิจิต เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย
ใครๆ ก็บังคับบัญชาให้เกิดขึ้นไม่ได้ ในชาตินี้ก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ด้วยผลของกุศลกรรม ซึ่งเป็นการได้ที่ได้แสนยาก เป็นการได้ที่ได้แสนยาก ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน ก็ดีแล้วถ้าได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจสภาพธรรมไปทีละเล็กทีละน้อย อีกทั้งไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท กล่าวได้ว่า เป็นชีวิตที่มีค่าเป็นอย่างยิ่ง เป็นการสะสมเสบียงเครื่องเดินทางอย่างดีในสังสารวัฏฏ์ เพราะสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ คือ กุศลธรรม สิ่งที่ลืมไม่ได้เลย คือ “มีชีวิตอยู่ เพื่ออบรมเจริญปัญญาต่อไป เพื่อขัดเกลาละคลายกิเลสของตนเอง” ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...