กุศลวิบากมีกุศลเจตสิกที่เป็นปัญญาเกิดร่วมด้วย

 
papon
วันที่  5 มิ.ย. 2557
หมายเลข  24943
อ่าน  2,072

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

"กุศลวิบากมีกุศลเจตสิกที่เป็นปัญญาเกิดร่วมด้วยมีหรือไม่ครับ" ท่านอาจารย์บรรยายตอนหนึ่งในพรัอภิธรรมพื้นฐานตอนที่ 470 กระผมยังไม่ค่อยเข้าใจในประโยคที่ท่านอาจารย์พูดจากหัวข้อที่ถามในกระทู้ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยอธิบายด้วยครับ ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 5 มิ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กุศลวิบาก คือ ผลของกุศลกรรม ซึ่งมีหลายระดับ เช่น มหากุศลวิบาก รูปาวจรวิบาก อรูปาวจรวิบาก โลกุตตรวิบาก เป็นต้น ซึ่ง กุศลวิบาก มี ปัญญาเจตสิก หรือ อโมหเจตสิกเกิดร่วมด้วยได้ครับ

มหาวิบากจิต ๘ ดวง

ญาณวิปปยุตต์ ๔ ดวง มีเหตุ ๒ คือ อโลภะ อโทสะ

ญาณสัมปยุตต์ ๔ ดวง มีเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ

รูปวจรวิบากจิต ๕ ดวง มีเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ

อรูปาวจรวิบากจิต ๔ ดวง มีเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ

โลกุตรวิบากจิต ๔ ดวง มีเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ

จะเห็นนะครับว่า ที่เป็นวิบากที่ดี ที่เกิดจากกุศลจิต บางประเภทก็มีปัญญาเกิดร่วมด้วย และ บางประเภทก็มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ครับ ตามที่ยกมา ครับ ซึ่ง กุศลกรรมที่เป็นเหตุที่ประกอบด้วยปัญญา สามารถทำให้เกิด วิบากประเภทที่ประกอบด้วยสามเหตุ คือ อโลภะ อโทสะ และ มีอโมหเจตสิกที่เป็นปัญญาเกิดร่วมด้วย

ยกตัวอย่างเช่น ปฏิสนธิจิตของพระพุทธเจ้า ก็เป็นมหากุศลวิบาก ที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ครับ

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 5 มิ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วิบาก เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็เป็นกุศลวิบาก ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็เป็นอกุศลวิบาก กล่าวได้ว่าวิบากทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นไป ต้องมาจากกรรมที่ได้กระทำแล้ว ซึ่งไม่ได้ห่างไกลจากชีวิตประจำวันเลย มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ต้องอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านั้นถึงจะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้

กรรมมี ๒ อย่างใหญ่ๆ คือ กุศลกรรม กับ อกุศลกรรม, กุศลกรรม ดับไปแล้วจริง สามารถเป็นปัจจัยให้กุศลวิบากซึ่งเป็นผลของกุศลกรรมเกิดได้ และอกุศลกรรมดับไปนานแล้วก็จริง แต่ก็เป็นปัจจัยให้อกุศลวิบาก ซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรมเกิดได้

วิบาก ซึ่งเป็นผลของกรรม นั้น มีทั้งวิบาก ที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ มีทั้งวิบากที่ประกอบด้วยเหตุ ๒ และ มีทั้งวิบากที่ประกอบด้วยเหตุ ๓ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น วิบากที่ไม่ประกอบด้วยเหตุใดๆ เลย เช่น เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นต้น วิบากที่ประกอบด้วยเหตุ ๒ นั้น คือ ประกอบด้วยอโลภเหตุ และ อโทสเหตุ เป็นวิบากที่ไม่กอบด้วยปัญญา, และ วิบากที่ประกอบด้วยเหตุ ๓ คือ ทั้งอโลภเหตุ อโทสเหตุ และอโมหเหตุ คือ ปัญญา มีปัญญาเกิดร่วมด้วย เป็นผลมาจากกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ แต่ก็สามารถค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โดยเฉพาะในส่วนของจิตประเภทต่างๆ เพราะเมื่อกล่าวถึงจิต ก็ต้องกล่าวแสดงถึงเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ก็พอจะเข้าใจได้ว่า จิตประเภทใด ที่มีปัญญา เกิดร่วมด้วย จิตประเภทใด ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย สำหรับอเหตุจิตทั้ง ๑๘ ดวง ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยอย่างแน่นอนเพราะเป็นจิตที่ไม่มีเหตุใดๆ เกิดร่วมด้วย อกุศลจิต ก็ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยแน่ เพราะเป็นอกุศล จะไม่มีธรรมฝ่ายดีใดๆ เกิดร่วมด้วยเลย ก็มีเพียง ๓ ชาติเท่านั้น ที่จะมีปัญญา เกิดร่วมด้วย ได้ ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ คือ กุศล (ที่ประกอบด้วยปัญญา) วิบาก (ที่ประกอบด้วยปัญญา) และ กิริยา (ที่ประกอบด้วยปัญญา) ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 6 มิ.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ