จิตรู้นามรูปในขณะเดียวกันหรือไม่ ?.

 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่  6 มิ.ย. 2557
หมายเลข  24946
อ่าน  1,562

เรียนถามท่านอาจารย์ครับ จิตรู้นามรูปในขณะเดียวกันหรือไม่? เพราะผมเห็นรูปล้วนๆ ด้วย เห็นนามที่ไม่เจือปนรูปด้วย. เชิญท่านวิทยากรตอบได้ครับ กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ.


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 6 มิ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จิตเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ อาการรู้ ทุกขณะที่จิตเกิด เกิดขึ้นมาแล้วจะไม่รู้อะไรเลยไม่ได้ จะเกิดแต่จิตอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องอาศัยธรรมอีกอย่างเกิดกับจิตด้วย เรียกว่า เจตสิก รวมทั้งต้องอาศัยอารมณ์ และปัจจัยอื่นๆ อีกหลากหลาย จิตและเจตสิก จึงจะเกิดขึ้นได้ จิตและเจตสิกที่เกิดกับจิตในขณะนั้น เกิดขึ้น รู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ทางทวารหนึ่งทวารใด ทีละ ๑ อารมณ์ ทีละ ๑ ทวาร เพราะฉะนั้น จิตเกิดขึ้นจะต้องมีเพียงอารมณ์เดียว จะรู้สองอารมณ์ สองอย่างในขณะจิตเดียวไม่ได้ เพราะฉะนั้นที่คิดว่ารู้นามและรูปด้วยเหมือนพร้อมกัน เพราะการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรม คือ จิต จึงทำให้เหมือนรู้นามและรูปพร้อมๆ กัน แต่ความเป็นจริงไม่ใช่ ตามที่กล่าวมา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 6 มิ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ (อารมณ์ คือ สิ่งที่ถูกจิตกำลังรู้) เมื่อจิตเกิดขึ้น ก็ต้องรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ เช่น จิตที่เกิดขึ้นทางตาทั้งหมด ก็ต้องมีสีเป็นอารมณ์ ที่เรียกว่า รูปารมณ์ จิตที่เกิดขึ้นทางหูทั้งหมด ก็ต้องรู้เสียงเป็นอารมณ์ที่เรียกว่า สัททารมณ์ เป็นต้น แสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ที่มีจริงๆ ความเป็นจริงเป็นอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น พระธรรมที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกว่า เป็นธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และความเป็นจริงของนามธรรม คือ จิต และเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย นั้นคือ เป็นสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ ตามควรแก่จิตที่เกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้น จิตเกิดทีละขณะ ก็รู้อารมณ์ทีละหนึ่ง ไม่สามารถรู้พร้อมกันได้ทีละหลายๆ อารมณ์ ขณะที่จิต ๑ ขณะเกิดขึ้นนั้น เจตสิก ๑ ที่ไม่ขาดเลยคือสภาพธรรมที่เป็น เอกัคคตาเจตสิก คือ สภาพธรรมที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่ง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 6 มิ.ย. 2557

จิตรู้ได้ทีละอย่าง ไม่สามารถรู้ได้ทั้งนามและรูปพร้อมกัน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 7 มิ.ย. 2557

ขอขอบพระคุณครับ. ถ้านามและรูปไม่เกิดพร้อมกัน ขณะที่จิตรู้ "รูป" สภาพรู้ของจิตขณะรู้รูป ไม่ใช้นามหรือครับ?

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 8 มิ.ย. 2557

เรียน ความคิดเห็นที่ ๔ ครับ

ขณะที่จิตรู้รูป นั้น สภาพรู้ของจิตที่รู้รูป นั่นแหละ คือ ความเป็นจริงของธรรมที่เป็นนามธรรม ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์คือสิ่งที่จิตกำลังรู้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณผู้ใช้นามว่าชีวิตคือขณะจิต ด้วยครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 9 มิ.ย. 2557

ขออนุโมทนาครับท่านKhampan.a

ฉะนั้น ขณะนั้นจิตมีทั้งนามธรรมและรูปธรรมด้วย โดยจิตรู้รูปธรรม ตามที่ท่านกรุณาตอบนั้นผมเข้าใจแล้วครับ. และผมก็รู้แต่รูปเท่านั้น จู่ๆ ก็รู้รูปขึ้นมา (ใคร่ครวญว่าคิดไปเองหรือเปล่า ก็คิดตามคำของอาจารย์เพราะกำลังฟังอาจารย์ทาง Internet อยู่ แต่ขณะที่รู้รูปนั้นไม่ใช้อย่างที่คิด เพราะมันเป็นสภาพล้วนๆ ที่ไม่มีอะไรปน มันไม่เอาพวกเอาหมู่ เรานี้ไม่เปื้อนมันเลย มันลอยไปบนน้ำก็ไม่เปียก มันลอยไปบนขยะปฏิกูลก็ไม่เบื้อนครับ ต่อมาสักสัปดาห์หนึ่ง ผมนึกถึงสภาพรูปนั้น ก็เห็นว่ามันมีอีกสภาพหนึ่งซ้อนอยู่) .

คำถามครับ : ผมขอเรียนถามท่านว่า ขณะที่จิตรู้รูปธรรมนั้น จิตรู้นามธรรมด้วยไหมครับ?

(ผมก็ถามอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว ทุกท่านก็ตอบว่าจิตรู้นามรูปไม่พร้อมกันครับ ผมก็จำไว้อย่างนั้น แต่ก็ยังสงสัยว่า ทำไมขณะที่จิตกำลังรู้รูปธรรมอยู่ จิตไม่รู้ว่าจิตเป็นนามธรรมขณะนั้น)

ขอขอบพระคุณครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 9 มิ.ย. 2557

เรียนความคิดเห็นที่ ๖ ครับ

จากความเข้าใจเบื้องต้น คือ จิตเกิดทีละขณะ และรู้อารมณ์ทีละขณะ จะไม่รู้อารมณ์พร้อมๆ กันหลายอารมณ์ ในขณะที่คิดนึก ขณะนั้น จิตก็เป็นจิตที่เกิดขึ้นคิดนึกถึงเรื่องราวต่างๆ เรื่องราวนั้นเป็นอารมณ์ของจิตคิดนึกในขณะนั้น ถ้ารู้รูปธรรม จิตก็มีรูปธรรมเป็นอารมณ์ แต่ยังไม่สามารถรู้ตรงลักษณะของความเป็นจริงของจิตในขณะนั้นว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะปัญญายังไม่เพียงพอต่อการที่จะเข้าใจตัวจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ซึ่งก็จะต้องฟัง ต้องศึกษา ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ต่อไป ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 9 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
rukawa119
วันที่ 9 มิ.ย. 2557

ขอเรียนถามเพิ่มเติมนะครับ

1.ญาณะ ที่ประจักษ์ความต่างกันของรูปและนาม เป็นการประจักษ์ในขณะที่สภาพธรรมปรากฏในขณะนั้นว่า รูปธรรม และ นามธรรม ไม่ปะปนกัน แยกขาดจากกัน

(ซึ่ง อ.ผเดิมได้กล่าวไว้ในความเห็นที่ 1 แล้วว่า จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทีละขณะ แสดงว่าถ้าเกิดญาณะ จริงๆ สติไประลึกรู้รูป 1 ขณะ และไประลึกรู้นามที่ไปรู้เสียงอีก 1 ขณะ แต่เกิดดับสืบต่อเร็วมาก เช่นระลึกรู้ที่เสียงคือรูป 1 ขณะ และไประลึกรู้ที่นามธรรมที่ไปรู้เสียงนั้นอีก 1 ขณะ ติดต่อกันทำให้ปัญญาเห็นความต่างกันของรูปและนาม)

หรือ

2. เป็นการระลึกไปเรื่อยๆ จนรู้ลักษณะของรูป และลักษณะของนาม จนเกิดปัญญารู้ว่าต่างกัน (กรณีนี้รู้ระลึกรู้อารมณ์ไปเรื่อยๆ ไม่ว่ารูปหรือนาม จนเกิดปัญญา แต่ไม่ใช่ระลึกรู้ติดต่อกันในขณะเหมือนกรณีแรก)

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 9 มิ.ย. 2557

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pamali
วันที่ 3 ก.ค. 2557

สาธุ

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
kullawat
วันที่ 4 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 17 พ.ย. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ