พจนาท่านอาจารย์

 
papon
วันที่  9 มิ.ย. 2557
หมายเลข  24962
อ่าน  1,030

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

"เพราะฉะนั้นทุกขณะถ้ามีปัญญาจากการที่ได้ยินได้ฟัง ถ้าจะรู้สภาพของจิตโดยที่ว่า ไม่สนใจในสิ่งที่ปรากฏ เพราะสิ่งนั้น เพียงแต่เป็นสิ่งที่สามารถรู้ลักษณะของจิตที่เกิดขึ้น เมื่อมีสิ่งนั้นเป็นอารมณ์" พจนาท่านอาจารย์ในพระอภิธรรมพื้นฐานตอนที่ 508 ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยแปลให้ด้วยครับ ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 9 มิ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ประโยชน์จริงๆ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ว่า จิต เป็นธรรม เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ จิต เป็น จิต ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของของใคร เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เมื่อสะสมปัญญา มีความเข้าใจถูกเห็นถูกเพิ่มขึ้น ก็จะสามารถเข้าใจถึงความเป็นจริงของจิต ได้ ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นเรื่องของปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ขณะที่รู้ตรงลักษณะของจิต ก็ต้องรู้จิตตามความเป็นจริงในขณะนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก

ดังนั้น จึงขออนุญาตยกคำบรรยายของท่านอาจาร์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ตามที่ปรากฏใน พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ ๕๐๘ มาให้ได้อ่านทบทวน ดังนี้

"ธรรมะ เป็นสิ่งที่ละเอียด กว่าจะถึงการเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา แล้วไม่ใช่ของเรา ทั้งๆ ที่จิตมีในขณะนี้ เป็นเพียงธาตุ ลองไม่คิดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วรู้เฉพาะจิตซึ่งเกิดขึ้น เป็นธาตุ ซึ่งแล้วแต่ขณะนั้นเป็นธาตุอะไร หลากหลายไหม จิตขณะนี้ เกิดแล้วตามเหตุปัจจัย แล้วไม่ใช่ของใครด้วย และไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่เรื่องใดๆ เลย แต่เป็นธาตุที่เกิดแล้วก็ดับสืบต่อ

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ของเราแน่นอน ฟังจนกว่าจะมีความเข้าใจถูกว่า ธรรมะเป็นธรรมะแล้วจิตก็มีทุกขณะ แล้วหลงยึดถือว่าเป็นของเราทุกจิตไปเลย ซึ่งไม่ถูกต้อง

เพราะฉะนั้น ความเห็นถูกก็คือ ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องในลักษณะของจิตว่า เป็นจิตแล้วก็เป็นธรรมะ มีปัจจัยก็เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

เพราะฉะนั้น ทุกขณะถ้ามีปัญญาจากการได้ยินได้ฟัง จะรู้สภาพของจิตโดยไม่สนใจในสิ่งที่ปรากฏ เพราะสิ่งนั้นเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้สามารถรู้ลักษณะของจิตที่เกิดขึ้น เมื่อมีสิ่งนั้นเป็นอารมณ์

พอจะรู้ได้ใช่ไหม วันหนึ่ง ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ แม้แต่จิตในขณะนี้ก็เกิดแล้ว ดับแล้ว หายไปเลย หมดไปเลย ไม่เหลือเลย แล้วก็มีธาตุใหม่เกิดขึ้นสืบต่อ ไม่สามารถหยุดปัจจัยที่ทำให้ธาตุต่างๆ เหล่านี้เกิดได้ จนกว่าปัญญาสามารถเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็ฟังธรรมะ เพื่อเข้าใจธรรมะ ไม่อย่างนั้นก็จะมีคำถามอยู่ตลอดเวลา แล้วเราฟังธรรมะ เราก็ยังโกรธ ฟังธรรมะแล้วเราก็ยังโกรธ เวลาฟังธรรมะ ก็ต้องเข้าใจว่า เป็นธรรมะ เพราะฉะนั้น เวลาโกรธเกิดขึ้น โกรธก็เป็นธรรมะ แล้วเมื่อไรจะเป็นอย่างนี้ได้ ก็ต้องมั่นคงในการเข้าใจว่า เมื่อเป็นสิ่งที่จริง และยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมะในขณะนี้ที่กำลังได้ยินได้ฟัง แต่ก็สามารถรู้ได้ในวันหนึ่ง ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่ไปนั่งทำอะไร แล้วก็คิดว่า สามารถละคลายการยึดถือจิตและธรรมะว่าเป็นตัวตนได้"

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 9 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ประสาน
วันที่ 13 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 13 มิ.ย. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ