ธรรมจาริกในสรีลังกา - คำปรารภ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมจาริกในศรีลังกา
โดย Nina Van Gorkom
แปลโดย พ.อ.ดร.ชินวุธ สุนทรสีมะ
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
คัดลอกจาก ...
//members.tripod.com/buddhiststudy/srilanka.htm
คำปรารภ
ผมได้เริ่มเขียนคำปรารภนี้ในทันทีที่อ่านตรวจทานต้นฉบับที่ผมแปลจบลงที่ผมเขียนทันทีนั้น ก็เพราะข้อความในตอนท้าย ของเรื่องนี้ ได้ทำให้ผมมีความรู้สึกซาบซ่านปิติ แต่อดสะเทือนใจไม่ได้เลยต่อข้อความสั้นๆ ตอนจบของคุณนีน่า และขณะที่ผมกำลังเขียนคำปรารภนี้ ผมต้องถามตัวเองว่า ทำไมผมจึงเกิดความปิติเช่นนี้ ผมคิดทบทวนแล้ว ก็ตอบตัวเองว่า ผมได้เผลอปล่อยใจไปกับเหตุการณ์ ตอนท้ายของเรื่อง ซาบซ่านกับกัลยาณมิตร และวาบหวิวกับการจะต้องจากทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ถูกหักมุม ให้รู้ถึงสภาพธรรมอันแท้จริง ในท้ายที่สุดในตอนจบ
(ผมขอประทานโทษหากท่านผู้อ่าน ไม่เกิดความรู้สึกลักษณะเดียวกับผม ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะ ผมมีเหตุปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนไหวเกินไปก็ได้)
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ผมขอประทานอนุญาตท่านผู้อ่านขอพูดเรื่องตัวเอง ความรู้สึกของตัวเองและประสบการณ์ของตัวเอง ในการปฏิบัติและศึกษาธรรมสักหน่อยเถิดครับ เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งสำหรับการอธิบายว่า ทำไมผมจึงแปลหนังสือเล่มนี้ของคุณนีน่า และทำไมผมจึงคิดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีและจะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน
ผมได้เริ่มต้นศึกษา และปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจัง
ด้วยเหตุบังเอิญ ขณะที่ผมได้ป่วย เป็นโรคหัวใจอยู่ที่โรงพยาบาลเมื่อได้มีอายุอานามดึกโขถึง ๕๓ ปีแล้ว ผมได้ศึกษาธรรมสืบต่อมา อย่างจริงจังจากหนังสือธรรมต่างๆ และได้ฝึกสมาธิจากหลายสำนัก และหลายวิธี ได้มีประสบการณ์ทั้งที่น่าพึงพอใจ ทั้งที่ล้มเหลวไม่ได้ผล และทั้งที่ประสบกับสำนัก อันน่าจะก่อให้เกิดมิจฉาทิฏฐิขึ้น กับผู้ที่มีศรัทธาไปสู่สำนักนั้นด้วย
แต่แม้กระนั้นก็ตาม ผมก็คงศึกษาและฝึกกรรมฐานต่อไป อย่างสม่ำเสมอ จากแหล่งต่างๆ โดยถือหลักตามที่ท่านผู้ทรงความรู้ในพระพุทธศาสนาอย่างสูง และมีพระคุณต่อผมผู้หนึ่ง ที่ไม่ยอม ให้ผมเอ่ยนามของท่าน ได้เคยบอกผมว่า
เราควรทำตัวเป็นคนเก็บลูกพุทรา ซึ่งมีคนขึ้นขย่มกิ่งให้ เราก็เลือกเก็บเอาตามที่เราชอบ ที่ไม่ชอบก็ไม่เก็บขึ้นมา ผมจึงทำตัวในการศึกษาหาความรู้เรื่องพระพุทธศาสนา แบบเดียวกับการเก็บพุทรานี้เป็นปกติเรื่อยมา
ตราบจนกระทั่งผมไปหมุนคลื่นวิทยุ พบรายการธรรมที่สะดุดหูสะดุดใจผม เป็นอย่างยิ่งเข้าครั้งหนึ่ง หลายปีมาแล้ว เสียงสุภาพสตรีผู้บรรยายธรรม สะดุดหู เพราะสุ้มเสียงใสชัดถ้อยชัดคำ คำบรรยายก็แจ่มชัด เป็นจังหวะ ไม่ช้า ไม่เร็ว เต็มไปด้วยสาระ ที่เป็นแก่นสารจากพระพุทธพจน์ ผมจึงติดตามฟังต่อไปจนจบรายการ เพื่อจะได้รู้ว่าเป็นรายการอะไร และจะมีอีกเวลาใด จึงทราบว่า เป็นรายการบรรยายธรรม เรื่องแนวทางเจริญวิปัสสนา โดยอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จากสถานีวิทยุ สทร ๒ บางนา เวลา ๓ ทุ่มกับ ๖ โมงเช้า ทุกวันเว้นคืนวันอาทิตย์ ผมจึงติดตามฟังทุกวันทั้งสองเวลา
พร้อมกับอัดเทปไว้ แล้วไปเปิดฟังทบทวนต่อใน ขณะเดินทาง ไปทำงาน และตอนเดินทางกลับบ้าน ผมได้ทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องหลายปี ตอนฟังครั้งแรกๆ นั้น ผมฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เมื่อฟังต่อไปๆ ท่านก็จะพูดทบทวนให้ค่อยๆ รู้เรื่องขึ้นเอง สำหรับผมนั้น ตอนใดที่ยาก แม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องนักก็ตาม แต่ก็นับว่า มีประโยชน์แก่ผม เพราะได้จุดความสนใจให้อยากรู้ขึ้นแล้ว ผมก็จะไปศึกษาเพิ่มเติมจากพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน ซึ่งท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นผู้จัดทำอันมีประโยชน์ยิ่งต่อผม นอกจากนั้นก็ศึกษาจากหนังสือธรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของท่านเจ้าคุณพระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต) และท่านเจ้าคุณพระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ)
คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์นั้น ผมรู้สึกว่ามีลักษณะพิเศษเฉพาะที่ดีอย่างหนึ่ง คือ ท่านผสมผสานพระสูตร และพระวินัย เข้ากับพระอภิธรรมอย่างน่าสนใจ และฟังสนุก บางครั้งท่านก็เล่าเรื่อง โดยอ่านบางตอนจากพระสูตร แล้วก็โยงเข้าสู่พระอภิธรรม ที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ บางครั้งท่านก็พูดถึงพระอภิธรรม แล้วก็ยกตัวอย่างจากพระสูตรบางครั้งท่านก็นำพระวินัยในรายละเอียด มาอ่าน ให้ฟังและอธิบายในรายละเอียดแล้วจึงโยงเข้าสู่พระอภิธรรม และบ่อยครั้งเหลือเกิน ที่ผมเพลิดเพลินไปกับสำนวนภาษาจากพระไตรปิฏกซึ่งแท้ที่จริงก็คือ "พระพุทธพจน์จากพระโอษฐ์" ของสมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั่นเอง ผมได้รู้สึกรื่นรมย์ กับวรรณศิลป์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะที่ท่านอาจารย์สุจินต์อ่านให้เราฟัง จนทำให้ผมอดนึกไม่ได้เลยว่า พระพุทธองค์ ทรงเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐสุดจริงๆ ในความประณีตละเอียดลออ เต็มไปด้วยพระเมตตาธรรม และมีความละเมียดละไมในการใช้ภาษาที่แสนไพเราะ และให้เกิดปัญญา
แต่แม้กระนั้นก็ตาม เวลาผมฟังธรรมบรรยายจากท่านอาจารย์สุจินต์บางครั้งผมมีความรู้สึกว่ามีการกล่าวซ้ำๆ กันอยู่บ่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนผมรู้สึกเหมือนว่าท่านอาจารย์จงใจให้ผู้ฟัง ได้ฟังซ้ำฟังซาก จนเข้าไปอยู่ในสายเลือดกระนั้นแหละ
ทั้งนี้เพราะมันได้เกิด เช่นนั้นกับผม จุดสำคัญที่ผมได้ก็คือเราจะต้องมีสติระลึกรู้ สภาพธรรมทั้งหลาย ที่ปรากฏในปัจจุบัน ว่าไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นเพียง "รูปและนาม" เท่านั้น
เดี๋ยวนี้ผมตระหนักแล้ว อย่างจริงจังว่า หากท่านอาจารย์สุจินต์ไม่มีเมตตาธรรม ต่อผู้ฟังอย่างล้นเหลือหรือไม่มีความกล้าหาญมั่นคงอย่างมากจริงๆ ที่จะสื่อความหมายอันสำคัญยิ่งนั้นแก่ผู้ฟัง โดยไม่เสื่อมถอย หรือไม่มีความความเพียร ที่จะกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับผู้ฟังในเรื่องสำคัญยิ่งนั้นแล้ว ผมรู้แน่แก่ใจว่า ผมคงจะรู้แล้วก็ลืม ยามที่รู้ก็รู้ด้วยปัญญาของสมองธรรมดาๆ ว่าทุกอย่างเป็นเพียงรูปนาม ฟังแล้วก็เข้าใจและเชื่อด้วย แต่แท้จริงแล้วก็หาได้รู้อย่างประจักษ์แจ้งไม่ ส่วนมากแล้วก็จะรับรู้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ในสภาพของสมมติบัญญัติว่า เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นเสียงเพลง เป็นธรรม เป็นตัวเรา เป็นตัวเขา เป็นต้นไปหมด
ด้วยการย้ำจากอาจารย์สุจินต์ จากการถามคำถาม และการแสดงความรู้สึก จากประสบการณ์ของผู้ฟังบางท่าน ทำให้ผมค่อยๆ เข้าใจถึงความแตกต่าง ระหว่างความจริงที่เราสมมติชื่อต่างๆ ขึ้น ที่เรียกว่าสมมติสัจจะ กับความจริงอย่างแท้จริง อันเป็นปรมัตถสัจจะ ขึ้นมาตามลำดับ
ผมเรียนวิทยาศาสตร์และปริญญาอันแรกของผมเป็นทางด้านวิศวกรรม ในทางวิทยาศาสตร์นั้น ทุกสาขาวิชา จะเริ่มต้นจาก ข้อนิยามศัพท์ต่างๆ เช่น ของแข็ง ของเหลว แก๊ส ความร้อน แสง เสียง ไฟฟ้า และศัพท์ในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ อีกมากมาย จากนิยามเหล่านี้ เราจะสามารถศึกษาถึงกฎเกณฑ์เหตุผลต่างๆ จนสามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางกายภาพทั้งหลายได้ ด้วยเหตุผล ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เมื่อผมได้ฟังคำบรรยายของอาจารย์สุจินต์มากๆ เข้า และได้ศึกษา พระไตรปิฎก ประกอบด้วยแล้ว ผมมีความรู้สึกว่า สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระศาสดาผู้ทรงตรัสรู้สภาพธรรม เหนือนักวิทยาศาสตร์ ทั้งหลายเพราะได้ทรงตรัสรู้ "ที่สุดของวิทยาศาสตร์และศาสตร์ทั้งปวง" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "วิทยาศาสตร์ทางจิต" ซึ่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ยังศึกษาไปไม่ถึงถ้าหากท่านผู้อ่านสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า พระบรมศาสดาได้ทรงเริ่มต้นจาการนิยามปรมัตถสัจจะ และซอยย่อยไป นิยามในรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ของจิต เจตสิก รูปและนิพพานตลอดจนเหตุปัจจัย และผลที่จะเกิดขึ้นต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง พระพุทธองค์ทรงอธิบายได้ ด้วยเหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ข้อสำคัญก็คือ เราจะต้องเข้าใจ "ธรรมของพระองค์" เข้าใจ นิยามต่างๆ ตามธรรมของพระองค์ โดยไม่นำเอานิยามในทางโลกอันเป็นความจริงที่สมมติ เรียกชื่อขึ้นไว้มาปะปน
ตรงนี้เอง ที่เราจะต้องมีสติระลึกรู้ สภาพธรรมหรือความจริงทั้งหลายแหล่ที่ปรากฏในปัจจุบัน ตามสภาพที่เป็นจริงทางปรมัตถ์ ตลอดเวลาว่า เป็นเพียงนามและรูป ดังนั้นการที่เราได้ศึกษา ให้รู้ธรรมของพระองค์ต่อไปว่า นามมีอะไรบ้าง รูปมีอะไรบ้าง ยิ่งมีความรู้ ความเข้าใจ ในธรรมของพระองค์ มากขึ้นเพียงใด เราก็ย่อมจะเข้าใจสภาพทั้งหลายแหล่ ที่ปรากฏแก่ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจของเราตามสภาพความเป็นจริง และเหตุปัจจัยต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้นตามลำดับ เมื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ก็ย่อมจะละ จะคลาย ความยึดมั่นถือมั่นลง จะละทิ้งการยึดถือเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลลงไปตามลำดับ
การจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกคือพระโสดาบันบุคคลนั้น จะต้องขจัดขัดเกลาให้หลุดพ้นจากกิเลส เครื่องร้อยรัดเบื้องต่ำสามอย่างของสังโยชน์ ๑๐ อัน ได้แก่ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวตน) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) และสีลัพพตปรามาส (ความเชื่อโชคลางของขลังพิธีกรรมและหนทางปฏิบัติผิด) ฉะนั้นการมีสติระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏในปัจจุบัน ว่า เป็นเพียงนามและรูป จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะละวางและหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องร้อยรัดอันแรกคือ "สักกายทิฏฐิ" นั่นเอง
การปฏิบัติธรรมเพื่อขัดเกลาให้ละคลายและหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องร้อยรัดดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งที่ควรทำให้เป็นปกติวิสัย ในชีวิตประจำวัน การจะทำดังนี้ได้ จะต้องฝึกอบรมตนเอง ให้มีสติระลึกรู้สภาพธรรม ที่ปรากฏในปัจจุบัน ด้วยโยนิโสมนสิการ คือ การพิจารณาไตร่ตรอง ให้ประจักษ์แจ้งเห็นจริง ให้เกิดปัญญาอันเห็นชอบหรือสัมมาทิฏฐิ ต่อสภาพนามธรรมและรูปธรรม กุศล และอกุศล เป็นต้น
การปฏิบัติธรรมดังกล่าวนี้ได้มีผู้ปฏิบัติกันอยู่หลายวิธี แต่ข้อสำคัญนั้น จะต้องปฏิบัติเพื่อละกิเลสให้ได้ในชีวิตประจำวันจริงๆ ฉะนั้นหนทางที่ตรงที่สุดก็คือ จะต้องปฏิบัติธรรมดังกล่าวในชีวิตประจำวัน กล่าวคือการอบรมตนให้มีสติระลึกรู้ต่อสภาพธรรมที่ปรากฏในปัจจุบันให้เป็นปกติวิสัย ซึ่งก็คือการเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า
" ... หนทาง เป็นที่ไปอันเอกเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ เพื่อก้าวล่วงความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์กายทุกข์ใจ เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน คือ การเจริญสติ ๔ อย่าง ได้แก่ การพิจารณากาย เวทนา จิต และธรรม ... "
การเจริญสติดังกล่าวในทางปฏิบัตินั้น มักจะมีการถามกันมากว่าทำอย่างไร ผมเองก็เคยถามและฟังแล้วฟังเล่าจึงเริ่มจะเข้าใจ สำหรับผมเองนั้น ได้รู้สึกกับตัวเองว่า การฟังประสบการณ์ของผู้อื่น ประกอบกับฟังธรรมบรรยาย และศึกษาโดยตรง จากมหาสติปัฏฐานสูตร ได้ก่อให้เกิดปัญญาขึ้นเรื่อยๆ คือได้โน่นนิดนี่หน่อย ทำให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น
เมื่อผมได้อ่านต้นฉบับของคุณนีน่า ผมรู้สึกว่าคุณนีน่าเขียนได้ละเอียดลออดีเมื่ออ่านแล้ว ชวนให้เป็นผู้ละเอียด ในการ สังเกต ตัวเอง มากขึ้น ตามอย่างคุณนีน่า ความละเอียดในการสังเกตความรู้สึกของตัวเองนี้ ย่อมเป็นการก้าวไปสู่การมีสติตามธรรมดาก่อน แล้วย่อมจะทำให้มีสติระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏในปัจจุบันมากยิ่งขึ้นตามลำดับอันเป็นการขัดเกลาตัวเองให้รู้สภาพนามธรรม รูปธรรม กุศล และอกุศล ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุดตลอดเวลา การมีสติระลึกรู้สภาพธรรม ซึ่งเกิดดับอย่างรวดเร็ว อยู่ทุกขณะตลอดเวลาเช่นนี้ เป็นสาระสำคัญของการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน คุณนีน่าได้เล่าถึงประสบการณ์ต่างๆ ตลอดจน การวิเคราะห์ความนึกคิดของตัวเธอเองออก เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ณ ขณะปัจจุบันในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเชื่อว่า การแปลหนังสือเล่มนี้น่าจะเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่าน ในการขัดเกลาตนเอง ให้มีสติระลึกรู้สภาพธรรม ที่ปรากฏในปัจจุบัน ตามความเป็นจริง ในชีวิตประจำวัน อันจะก่อให้เกิดการละการวาง การคลาย และการขจัดกิเลส เครื่องร้อยรัด ให้หมดไปตามลำดับ อันเป็นทางไปสู่อริยมรรคอริยผลในที่สุดได้ไม่มากก็น้อย ข้อสำคัญขอให้ท่านอ่านไป ไตร่ตรองไป และพิจารณา ให้เห็นประโยชน์ แล้วสอนตัวเอง เพื่อนำไปขัดเกลาตนเองต่อไป ก็จะเกิดประโยชน์แก่การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
ท้ายที่สุดนี้ ผมขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงแก่ท่านผู้ประพันธ์ และ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ได้กรุณาตรวจแก้ต้นฉบับ ให้อย่างละเอียดลออยิ่งไว้ ณ ที่นี้ และขออานิสงส์ผลบุญจากการบำเพ็ญธรรมทานครั้งนี้ จงเป็นพลวปัจจัยให้ท่านผู้อ่าน ท่านผู้ บริจาคทรัพย์ และท่านผู้ร่วมในการจัดทำหนังสือนี้ ประสบแต่ความสุขความเจริญ และได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่ในชาตินี้ก็ในชาติต่อๆ ไป ตามความปรารถนาจงทุกประการ.
พ.อ.ดร.ชินวุธ สุนทรสีมะ, PH.D
๑๒/๒ ซอยสังขะวัฒนะ ๒
ลาดพร้าว ๒๓ กทม. ๑๐๙๐๐
โทร. ๕๑๑ ๔๑๔๘
พฤศจิกายน ๒๕๒๙
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่ พ.อ.ดร.ชิณวุธ สุนทรสีมะ
และขอขอบพระคุณข้อมูลจาก
//www.dharma-gateway.com/ubasika/nina/nina-sri_lanka_01.htm