ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๗

 
khampan.a
วันที่  15 มิ.ย. 2557
หมายเลข  24983
อ่าน  2,368

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๗

พระธรรมคำสอนทั้งหมดก็มาจากพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่คิดขึ้นมาโดยไม่มีสภาพธรรมะปรากฏว่าความจริงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า และสิ่งที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี ไม่ใช่เพื่อดอกไม้ ธูปเทียน คำสรรเสริญ สักการะ แต่เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ถ้าจะมีคนที่บูชาพระองค์ด้วยดอกไม้ ธูปเทียน วัตถุของหอมมากมายมหาศาล กับการฟังพระธรรมและเข้าใจพระธรรม คิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะทำให้พระองค์เกิดปีติ? ดอกไม้ทำให้ปีติไหม หรือ การที่มีผู้สามารถเข้าใจพระธรรมที่ได้ทรงแสดง?

ความไม่รู้ มากมาย ถ้าไม่ได้สะสมการเห็นประโยชน์ของการที่จะรู้ว่า อะไรเกิด แม้แต่เกิดก็ไม่รู้ว่าอะไร คิดก็ไม่รู้ว่าอะไร สุขหรือทุกข์ก็ไม่รู้ว่าอะไร สิ่งที่พอใจ ไม่พอใจ ก็ไม่รู้อะไร เป็นอย่างนี้ไปตลอดในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะห้ามการเกิดดับของสภาพธรรมไม่ได้เลย ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงความเป็นธรรมที่เป็นอนัตตา

ธรรม คือ ขณะนี้ตามความเป็นจริง สัจจธรรม ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนสภาพธรรมในขณะนี้ให้เป็นอย่างอื่นด้วยได้เลย ให้เป็นอย่างอื่น ให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ด้วย ก็ไม่ได้ ธรรมต้องเป็นธรรม กุศลธรรมเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม ไม่ว่าจะเกิดกับใคร ที่ไหน ทั้งหมดก็คือเป็นธรรม

การฟังธรรม ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ไม่ใช่เรื่องรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องอยากจะเข้าใจ แต่ขณะใดที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจสิ่งที่เคยฟังแล้วเข้าใจแล้วนั่นแหละเพิ่มอีก และเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจขึ้นอีก ในความไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด

จุดประสงค์ของการฟัง คือ เพื่อละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แล้วกุศลทั้งหลายก็จะเจริญขึ้น มิฉะนั้นแล้วก็หลอกตัวเอง เข้าใจว่าไม่มีกิเลสแล้ว ไม่รู้อะไรสักอย่าง ก็เข้าใจว่า รู้แล้วมาก กำลังจะเป็นพระอริยบุคคลหรืออะไรอย่างนั้น ก็ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าธรรมเป็นเรื่องที่ตรง

ขณะนี้ธรรมปรากฏ ฟังธรรม ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่เข้าใจแล้ว จะไม่สามารถแทงตลอดความจริงของสภาพธรรมได้

ความโกรธเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ฉันใด ความไม่โกรธก็เกิดขึ้นเพราะการอบรมเจริญเหตุปัจจัยที่จะไม่โกรธ ฉันนั้น ถ้าเป็นไปไม่ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จะไม่ทรงสอน จะไม่ทรงแสดง เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงธรรมด้วยประการทั้งปวง ที่จะอุปการะเกื้อกูลประโยชน์แก่ผู้ประพฤติตาม คือ ไม่โกรธ จึงชื่อว่า ทำตามคำสอนของพระองค์

แต่ละคนก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ชีวิตของใครจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สุขสบาย ทุกข์ยาก ลำบาก มากน้อยสักเท่าใด จะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ทั้งหมดก็ให้ทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้นจริงๆ

การดำเนินชีวิตปกติประจำวันเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะต้องจากโลกนี้ไปโลกหน้าอย่างแน่นอน แต่ว่าจะไปอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิตเป็นปกติประจำวันนี่เอง แล้วจะดำเนินไปทางไหน ระหว่างทางถูก กับ ทางผิด

ความกระวนกระวายที่ไม่จบสิ้น เมื่อไรจะจบสักที ลองคิดดูวันนี้อยากได้อะไร พรุ่งนี้จะหมดความอยากได้ไหม หรือถึงแม้ว่าจะเป็นพรุ่งนี้ ก็ยังมีความอยากได้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกี่ภพกี่ชาติก็ตาม

เรื่องของการดับกิเลส เป็นเรื่องของปัญญาที่รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงอาการปรากฏภายนอก แล้วก็จะมีสันนิษฐานกันไปว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ที่ดับกิเลสหมด เพราะเหตุว่าเรื่องของการรู้สภาพธรรม ไม่ใช่เป็นอาการที่ปรากฏภายนอก

ชีวิตทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย จะไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสถูกต้อง คิดนึก มีใครพ้นบ้าง? แต่ละขณะ ตั้งแต่เกิด แต่ไม่รู้ความจริง และถ้าจะจากโลกนี้ไป ก็จากไปด้วยความไม่รู้

การฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจถูก แม้เพียงขั้นเริ่มต้น ถ้าขั้นเริ่มต้นไม่เข้าใจถูกต้อง จะเข้าใจเพิ่มขึ้นจนกระทั่งปฏิปัตติธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลส เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าทั้งหมดเป็นปัญญา ซึ่งต้องเป็นไปตามลำดับขั้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ไม่มีทางรู้แจ้งอริยสัจธรรม

การฟังพระธรรมก็คือการเคารพอย่างยิ่งในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นเราจะไม่มีโอกาสได้ยินคำว่า ธรรมเป็นอนัตตา นามธรรมไม่ใช่รูปธรรม นามธรรมก็มีทั้งจิตและเจตสิก และขณะหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นทรงแสดงความจริงโดยตลอด โดยละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อให้รู้ว่า จิต หนึ่งขณะที่กล่าวว่ามีเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ละเจตสิกทำหน้าที่อะไร และเป็นปัจจัยแก่จิตโดยสถานใด เพื่อไม่ใช่เรา

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง เมื่อทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อให้คนที่เกิดมาแล้วไม่รู้อะไรเลยได้ค่อยๆ เริ่มเข้าใจ ค่อยๆ รู้ความจริงยิ่งขึ้น

กำลังเป็นทาสของตัณหา ในขณะที่มีความติดข้องต้องการเกิดขึ้น ซึ่งมีมากทีเดียว

ขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้น จะมีความไม่รู้เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอกุศลจิตประเภทใดก็ตาม

แม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรม หลากหลาย โดยนัยต่างๆ แต่ก็ไม่พ้นไปจากความเป็นจริงของสภาพธรรม

ฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่า ทุกขณะเป็นธรรม

พระธรรม ยาก แต่ก็สามารถค่อย ๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาให้เข้าใจขึ้นได้

เวลาที่่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม คิดถึงใคร? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า,

ถ้าไม่มีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีใครเข้าใกล้ความเป็นจริงของสภาพธรรมได้เลย.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๖ [สัปดาห์ที่ ๑๔๖]

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 15 มิ.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

@ ผู้ที่จะพึ่งพระพุทธเจ้าจะต้องเห็นคุณ เพราะ มีความเข้าใจถูก

@ ฟังพระธรรมเข้าใจเมื่อไหร่ มีที่พึ่ง เท่าที่จะพึ่งได้และ เป็นปัจจัยให้พึ่งโดยการฟัง

พระธรรมต่อไป

@ อ่านพระไตรปิฎกได้ แต่ต้องละเอียดยิ่งในทุกคำ

@ ถ้าศึกษาเรื่องราวของธรรม โดยไม่รู้ว่าธรรมอยู่ที่ไหน ก็จะไม่เจอธรรมะเลย

เพราะว่าเป็นการรู้เรื่องราวเท่านั้น

@การที่จะมีความเห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรม ก็ต้องศึกษาพระธรรม แล้วก็เริ่ม

ความเห็นถูก แต่ไม่ใช่ว่ามีเราจะไปประจักษ์หรืออยากจะทำเพื่อที่จะให้เห็น แต่ต้อง

เป็นการอบรม เจริญปัญญา คือความเข้าใจถูก และรู้ว่า ขณะนั้นเริ่มเข้าใจถูกเพิ่ม

ขึ้น จนกว่าจะเป็นสติปัฏฐานที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้เข้าใจถูกต้อง

แล้ว

@ ที่จะสละความไม่รู้ได้ต้องเป็นปัญญาอย่างเดียว ถ้าไม่มีปัญญา สละอะไรก็ไม่ได้

เพียงให้ ก็ไม่ใช่จาคะ

@ แต่เมื่อตายแล้ว ก็ไม่มีการที่โลกนี้จะตามไปอีกนะคะ ก็เป็นโลกอื่น เหมือนโลก

ก่อนที่จากมา เคยทำอะไรไว้ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม วุ่นวายปั่นป่วนสารพัดก็

แล้วแต่นะคะ แต่เมื่อมฤตยูคือความตายเกิดขึ้น ก็พ้นจากโลกนั้น แล้วก็แล้วแต่ว่า-

กรรม จะทำให้มาเกิดในโลกนี้ ก็ทำให้เป็นอย่างนี้ จนกว่ากรรมจะทำให้พ้นจากโลกนี้

ไปสู่โลกอื่น ถ้าไปสวรรค์ชั้นดุสิตหรือดาวดึงส์ ก็ตามแต่นะคะ จะมีเรื่องของโลกนี้

ตามไปอีกหรือเปล่า ว่าเรายังอยู่ในโลกนี้หรือเปล่า จะไม่มีความคิดได้เลยว่าเรายัง

อยู่ในโลกนี้ แต่ตราบใดที่ยังไม่ตาย โลกนี้เป็นโลกของเรามีเหตุการณ์อย่างนี้

เรากำลังอยู่ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ว่าจะเป็นพระธรรมกล่าวถึงโดย

นัยใดๆ ก็เพื่อให้น้อมไปสู่ความจริงว่าทุกคนนี้อยู่ในโลกต่อเมื่อยังไม่ถึงวาระที่จะ

จากโลกนี้ไป

@ มีวิธีไหนบ้างที่จะพ้นทุกข์? ไม่มีค่ะ นอกจากความเข้าใจของตัวเอง เท่านั้นเอง

ถ้าจะไปหาคำปรึกษาหารือ จากคนอื่น เขาก็จะให้สิ่งที่เพียงชั่วคราว แต่ไม่ใช่เป็น

การพ้นทุกข์จริงๆ ต้องเป็นปัญญาของแต่ละคนเองเท่านั้นค่ะ ที่จะสามารถพ้น

ทุกข์ได้แล้วทุกข์ก็มีมากมาย ตั้งแต่เกิดที่ว่า เกิดมาแล้วที่ไม่มีใครที่ไม่มีทุกข์ หรือว่า

ทุกข์ไม่เกิดขึ้นบ้าง เป็นไปไม่ได้เลย

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 15 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
papon
วันที่ 15 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
swanjariya
วันที่ 15 มิ.ย. 2557

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และคณะวืทยากรพร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์คำปั่นและท่านอาจารย์เผดิมที่จัดทำสรุปเพื่อให้ผู้สนใจได้มีโอกาสศึกษา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 15 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิต ของ อ.คำปั่น และ อ.ผเดิม ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
natural
วันที่ 16 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 16 มิ.ย. 2557

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 16 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 16 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 16 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
napachant
วันที่ 17 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 17 มิ.ย. 2557

เป็นลาภอันประเสริฐยิ่ง

ที่มีโอกาสได้รับรสพระธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์

โดยความอุปการะเกื้อกูลของ ชาว มศพ. ทุกท่าน

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jaturong
วันที่ 18 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
มังกรทอง
วันที่ 22 ต.ค. 2564

ความโกรธเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ฉันใด ความไม่โกรธก็เกิดขึ้นเพราะการอบรมเจริญเหตุปัจจัยที่จะไม่โกรธ ฉันนั้น ถ้าเป็นไปไม่ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จะไม่ทรงสอน จะไม่ทรงแสดง เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงธรรมด้วยประการทั้งปวง ที่จะอุปการะเกื้อกูลประโยชน์แก่ผู้ประพฤติตาม คือ ไม่โกรธ จึงชื่อว่า ทำตามคำสอนของพระองค์ น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
มังกรทอง
วันที่ 2 มี.ค. 2565

การฟังธรรม ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ไม่ใช่เรื่องรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องอยากจะเข้าใจ แต่ขณะใดที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจสิ่งที่เคยฟังแล้วเข้าใจแล้วนั่นแหละเพิ่มอีก และเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจขึ้นอีก ในความไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
มังกรทอง
วันที่ 5 มี.ค. 2565

การฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจถูก แม้เพียงขั้นเริ่มต้น ถ้าขั้นเริ่มต้นไม่เข้าใจถูกต้อง จะเข้าใจเพิ่มขึ้นจนกระทั่งปฏิปัตติธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลส เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าทั้งหมดเป็นปัญญา ซึ่งต้องเป็นไปตามลำดับขั้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ไม่มีทางรู้แจ้งอริยสัจธรรม น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ