ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๘
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องกุศลธรรมไว้มาก และทรงแสดงชี้แจงเรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมดไว้โดยละเอียด เพื่อที่จะให้เห็นโทษของอกุศล และเห็นคุณของการอบรมเจริญกุศล โดยประการที่จะทำให้ผู้ฟังได้พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ มากๆ โดยประการทั้งปวง เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดขึ้น พระมหากรุณาคุณมากมาย เพราะพระองค์มิได้ทรงมุ่งหวังสิ่งใดเพื่อพระองค์เองเลย นอกจากเพื่อประโยชน์ของผู้ฟัง เพื่อที่จะขัดเกลาให้เกิดศรัทธา เกิดกุศลจิตตามลำดับขั้นที่จะเป็นไปได้
พระธรรมที่สมบูรณ์พร้อมด้วยเหตุและผล และสำหรับผู้ที่พิจารณา เป็นผู้ตรงต่อเหตุผลด้วย เพราะว่าธรรมละเอียดมาก ถ้าไม่ฟังจริงๆ เราจะไม่รู้เลยว่า แม้เพียงก้าวเดียวที่นำไปสู่การทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพราะอยากจะให้ผลเกิดขึ้น เช่น อยากจะให้ปัญญาเกิดขึ้น หรืออย่างไรก็ตามแต่ แม้ขณะนั้นก็ผิดแล้ว จะเห็นถูกได้อย่างไร
การฟังพระธรรมเป็นสังขารขันธ์ที่จะเกื้อกูลอุปการะ แม้ในขณะเกิดความต้องการที่จะเข้าใจมากกว่าที่กำลังเป็นในขณะนั้น ขณะนั้นก็ต้องมีความเห็นถูกว่า แม้ขณะนั้นก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง และลองคิดดู ชีวิตจริงๆ สามารถเข้าใจทุกอย่างว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเพียงปรากฏแล้วหมดไป ไม่กลับมาอีกเลย
ทุกอย่างที่เกิดเป็นธรรม ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง จะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตนไม่ได้ เพราะฉะนั้น แม้จะได้ฟังธรรม รู้ว่า กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล แล้วทำไมกุศลไม่เกิด แต่อกุศลเกิด ผู้นั้นก็จะเห็นได้ว่า เพราะสะสมอกุศลมาก กุศลจึงเกิดได้น้อยกว่า
ไม่ควรประมาทในการฟังให้เข้าใจธรรมจริงๆ เพราะเหตุว่าธรรมะไม่ใช่สิ่งที่
ใครจะรู้ได้โดยง่าย ทั้งๆ ที่มีตำราครบถ้วน คือมีพระไตรปิฎก ทั้งพระวินัยปิฎกพระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ทั้งหมดเพื่อขัดเกลาความไม่รู้ซึ่งเป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมต่างๆ
ธรรมมีจริงๆ คือในขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่ไม่มีสักขณะเดียวตั้งแต่เกิดจนตายที่จะปราศจากธรรม แสดงว่าเกิดมาจนตายไม่รู้ธรรมถ้าไม่ได้ฟังแล้วไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะว่าเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เป็นของใคร หรือไม่ใช่เป็นผู้หนึ่งผู้ใดเลยทั้งสิ้น
อะไรเป็นความมุ่งหวังอย่างสูงสุดของแต่ละคน พิจารณาดีๆ ว่าขณะนั้นเป็นความมุ่งหวังในกุศลหรือในอกุศล ถ้าเป็นในอกุศล ก็เป็นตามลักษณะของโลภะนั่นเอง
การเคารพในธรรม หมายความถึงการฟังด้วยความตั้งใจ ในขณะที่ฟังด้วยความตั้งใจ นั่นคือการเคารพธรรม แต่ขณะใดก็ตามฟังแล้วไม่ตั้งใจ หรือไม่สนใจในขณะนั้นไม่ชื่อว่า เคารพธรรม
ถ้าเห็นคนที่กำลังโกรธจริงๆ เห็นอาการประทุษร้ายจิตใจที่กำลังเกิดขึ้นกับบุคคลนั้น เห็นโทษทันที เวลาที่เห็นความโกรธของบุคคลอื่น แล้วตัวเองเมื่อเห็นโทษอย่างนั้น ยังอยากจะโกรธเหมือนอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อกำลังเห็นอาการของคนโกรธ ของความโกรธ เพราะฉะนั้น เมตตาเกิดได้ในขณะนั้น ซึ่งควรเจริญจนกว่าจะเป็นพื้นของจิตใจ สามารถที่จะให้อภัยได้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะกระทำการกระทำที่ไม่เหมาะสมทางกาย หรือทางวาจาก็ตาม
ในขณะที่ชีวิตกำลังเผชิญกับความโกรธในลักษณะต่างๆ ในธุรกิจการงาน ในความคับแค้นใจ ในความไม่สะดวกใจ ในความขัดข้องในอุปสรรคต่างๆ ในขณะนั้น ถ้าสามารถฆ่าความโกรธได้ ย่อมอยู่เป็นสุข
เป็นผู้โง่เขลา ในขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้น
เวลาที่คิดจะโกรธบุคคลอื่น ขณะนั้นก็เป็นอกุศลธรรมที่เบียดเบียนคนโกรธ
เวลาที่ท่านผู้ใดกล่าวคำหยาบ ขณะนั้นเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ อาจจะเข้าใจว่าชนะแล้ว ที่สามารถจะกล่าวคำอย่างนั้นกับผู้อื่นได้ แต่ตามความเป็นจริงแล้วเป็นผู้แพ้อกุศล ไม่ควรที่จะเข้าใจว่า เป็นผู้ที่ชนะเลย
กุศลทั้งหมดที่เกิด ไม่ใช่เพื่อหวังผล แต่เพื่อที่จะขัดเกลาอกุศล ซึ่งมีอยู่มากมาย เหนียวแน่นและหนาแน่น
กับมิตรแล้ว ต้องไม่แข่งดี ต้องไม่โกรธ ต้องไม่หวังร้าย มีแต่ความเป็นมิตร เป็นเพื่อน หวังดี
เพราะยังมีความติดข้องต้องการ จึงมีการกระทำอะไรต่างๆ ตามที่ต้องการ
ขณะที่เต็มไปด้วยกิเลสนี้ หนัก ไม่สงบเลย แต่ขณะใดที่กิเลสนั้นปราศไป พ้นไป ขณะนั้นก็เป็นการสงบชั่วครั้งชั่วคราว
ธรรมใดเป็นประโยชน์ก็เปรียบเสมือนกับบัณฑิต ส่วนธรรมที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่ทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ อันนั้นก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย นอกจากจะทำให้ท่านเกิดความเห็นผิด ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้
เพียงได้รับสิ่งที่พอใจแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้ความพอใจนั้นหมดสิ้นไป ก็ยังปรารถนาสิ่งอื่นต่อไป ไม่มีวันจบ มีแต่ความปรารถนาอยู่เรื่อยๆ เห็นโทษหรือยัง?
ขณะที่กำลังพอใจนั้น ก็สะสมความพอใจนั้นไว้ เป็นพืชเชื้อที่จะให้เกิดความพอใจในสิ่งอื่นอีกต่อไปเรื่อยๆ ทุกภพทุกชาติ ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันหมดสิ้นความพอใจได้ ถ้าตราบใดยังคงมีความพอใจอยู่ ก็ยังคงต้องพอใจไปเรื่อยๆ
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ทั้งหมดเป็นไปเพื่อปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก
ทำดีที่สุด ในเวลาที่มีน้อย (เพราะชีวิตของแต่ละคน อย่างมากก็ไม่เกินร้อยปี)
เติมธาตุดีๆ ลงไปในจิต มีธาตุปัญญา ธาตุเมตตา เป็นต้น
ปัญญาจะเลือกทำอกุศลไหม? ไม่ทำอย่างแน่นอน
เป็นบุญแล้วที่ได้ฟังพระธรรม ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่มีเรามีแต่ธรรมเท่านั้น
มีโอกาสที่จะเจริญกุศลขณะใด ก็ควรจะรีบหรือปีติโสมนัสที่จะได้เจริญกุศล ในขณะที่ท่านสามารถที่จะเจริญกุศลได้, เพราะเหตุว่าชีวิตไม่แน่ว่า ท่านจะมีโอกาสได้เจริญกุศลต่อไปหรือไม่ อาจจะหมดโอกาสด้วยประการหนึ่งประการใดก็ได้.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๔๗ [สัปดาห์ที่ ๑๔๗]
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
@ คนสมัยพุทธกาลเห็นถูกมากทุกคนไหม แล้ว คนสมัยนี้จะเห็นถูกมากทุกคน
เหมือนพุทธกาลได้ไหม เข้าใจแค่ไหนก็แค่นั้น ทีละน้อย
@ ชอบดูหนังได้ไหม ค่ะ เป็นปกติ ถ้าไม่รู้จักความเป็นปกติ จะไม่เห็นการสะสม
และจะไม่สามารถเกิดสติปัฏฐานที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดอกุศลเป็นปกติ
แต่เมือ่ใด ผิดปกติ ผิดปกติ เพราะความอยาก ความต้องการ เพราะฉะนั้น หนทาง
ที่ผิดก็ปิดกั้นหนทางถูก
@ เวลาตื่น ถึงรู้ว่าตัวเองหลับอยู่ ขณะนี้หลับอยู่ ก็ไม่รู้ เพราะ ยังไม่ตื่น ต่อเมือ รู้
ความจริงของสภาพธรรม ขณะนั้นตื่นจากความฝัน ที่ถูกอวิชชาปิดบังว่ามีสัตว์
บุคคล ตัวตน ค่ะ
@ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นของยาก การได้ฟังพระสัทธรรม ก็เป็นของยาก ขณะนี้แต่ละบุคคล ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว และเพราะได้สะสมเหตุที่ดีมา จึงมีโอกาสให้ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรมตามกำลังปัญญาของตนเอง ดังนั้น จึงควรที่จะพิจารณาอยู่เสมอว่า เมื่อได้ความเป็นมนุษย์แล้ว พระธรรมก็ยังมีผู้แสดงเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง อยู่ ก็ไม่ควรที่จะประมาท พึงเป็นผู้ตั้งตนไว้ชอบในการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จุดประสงค์ ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่อขัดเกลากิเลสซึ่งมีมากในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ศึกษาเพื่ออย่างอื่น ไม่ใช่-ศึกษาเพื่อเพิ่มกิเลส เพิ่มมานะให้กับตนเอง
@ ผู้ที่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ นั้น เพราะท่านเคยได้ฟังธรรม
เคยได้สั่งสมการฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาแล้วทั้งนั้น จึงเป็นเหตุ
เป็นปัจจัยให้ท่านได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรม แล้วได้บรรลุธรรมในที่สุด ครับ
ถ้าได้ศึกษาประวัติ ได้ฟังถึงการอบรมเจริญบารมี ของพระอริยบุคคลทั้งหลายแล้ว จะเป็นเครื่องเตือนที่ดี ให้เราทั้งหลายไม่ประมาทในการศึกษาพระธรรม ในการ
ฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ในขณะนี้
@ บุคคลที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ใช่ว่าจะได้พบกัลยาณมิตรที่เกื้อกูลในทางธรรม
ทุกคน การได้อยู่ในประเทศที่มีการแสดงพระธรรม มีการเกื้อกูลกันในแนวทาง
ที่ถูกต้อง นั้นเป็นมงคลอันสูงสุดอีกข้อหนึ่งในบรรดามงคลทั้งหลาย เพราะจะเป็นไป
เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา
ขออนุโมทนา
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ธรรมใดเป็นประโยชน์ก็เปรียบเสมือนกับบัณฑิต ส่วนธรรมที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่ทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ อันนั้นก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย นอกจากจะทำให้ท่านเกิดความเห็นผิด ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้
เพราะยังมีความติดข้องต้องการ จึงมีการกระทำอะไรต่างๆ ตามที่ต้องการ
@ บุคคลที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ใช่ว่าจะได้พบกัลยาณมิตรที่เกื้อกูลในทางธรรม
ทุกคน การได้อยู่ในประเทศที่มีการแสดงพระธรรม มีการเกื้อกูลกันในแนวทาง
ที่ถูกต้อง นั้นเป็นมงคลอันสูงสุดอีกข้อหนึ่งในบรรดามงคลทั้งหลาย เพราะจะเป็นไป
เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา
ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
เป็นลาภอันประเสริฐยิ่ง
ที่มีโอกาสได้รับรสพระธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์
โดยความอุปการะเกื้อกูลของ ชาว มศพ. ทุกท่าน
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)