อินทรีย์สังวร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒- หน้าที่ 394
ข้อความบางตอน
เรื่อง อินทรีย์สังวร
ลำดับนั้น เพราะอินทรีย์สังวรเป็นการรักษาศีล หรือเพราะเทศนานี้ ที่พระองค์ทรงแสดงตามลำดับนี้ เป็นที่สบายของเทวดาทั้งหลาย ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงปฏิปทาเริ่มตั้งแต่อินทรีย์สังวรไปจึงทรงปรารภคำมีอาทิว่า จกฺขูหิ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า จกฺขูหิ เนว โลลสฺส ภิกษุไม่พึงเป็นผู้โลเลด้วยจักษุทั้งหลาย คือไม่พึงเป็นผู้โลเลด้วยจักษุทั้งหลาย ด้วยอำนาจมีรูปที่เราไม่เคยดู ควรดูเป็นต้น.
บทว่า คามกถาย อาวรเย โสตํ พึงป้องกันหูจากคามกถา (คำพูดของชาวบ้าน) คือพึงป้องกันหูจากติรัจฉานกถา.
บทว่า จกฺขุโลลิเยน ความเป็นผู้โลเลด้วยจักษุ คือความเป็นผู้ โลเลด้วยจักษุ ด้วยอำนาจความโลภอันเกิดขึ้นแล้วในจักษุทวาร.
บทว่า อทิฏฺฐํ ทกฺขิตพฺพํ รูปที่เราไม่เคยดู ควรดู คือรูปารมณ์ที่เราไม่เคยดูควรเพื่อจะดู.
บทว่า ทิฏฺฐํ สมติกฺกมิตพฺพํ รูปที่เคยเห็นแล้วควรผ่านไป คือรูปารมณ์ที่เคยเห็นแล้วควรผ่านไป.
บทว่า อาราเมน อารามํ สู่สวน แต่สวน คือสู่สวนผลไม้ สวนดอกไม้เป็นต้น แต่สวนมีสวนดอกไม้เป็นต้น.
บทว่า ทีฆจาริกํ คือ เที่ยวไปนาน.
บทว่า อนวฏฺฐิตจาริกํ เที่ยวไป ไม่แน่นอน คือเที่ยวไปโดยไม่ตกลงใจ.
บทว่า อนุยุตฺโต โหติ รูปทสฺสนาย เป็นผู้ขวนขวายเพื่อจะดูรูป คือเป็นผู้ขวนขวายบ่อยๆ เพื่อจะดูรูปารมณ์.
บทว่า อนฺตรฆรํ ปวิฏฺโฐ เข้าไปสู่ละแวกบ้าน คือ เข้าไปถึงภายในธรณีประตู.
บทว่า วีถึ ปฏิปนฺโน เดินไปตามถนน คือ ก้าวไประหว่างถนน.
บทว่า ฆรมุขานิ โอโลเกนฺโต แลดูหน้ามุขเรือน คือมองดูประตูเรือน.
บทว่า อุทฺธํ โอโลเกนฺโต แลดูข้างบน คือแหงนหน้ามองดูเบื้องบน.
บทว่า จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา เห็นรูปด้วยจักษุ คือ เห็นรูปด้วยจักขุวิญญาณอันสามารถเห็นรูป ที่เรียกว่าจักษุด้วยเหตุ. แต่พระโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า จักษุไม่เห็นรูป เพราะไม่มีจิต จิตไม่เห็นรูป เพราะไม่มีจักษุ ย่อมเห็นด้วยจิตอันมีปสาท จักษุกระทบอารมณ์ทางทวาร ก็กถาเช่นนี้ชื่อว่าสสัมภารกถา (กล่าวรวมกัน) ดุจใน ประโยคมีอาทิว่า ยิงด้วยธนูเพราะฉะนั้น ความในข้อนี้จึงมีว่า เห็นรูป ด้วยจักษุวิญญาณ.
บทว่า นิมิตฺตคฺคาหี เป็นผู้ถือนิมิต คือถือนิมิตหญิงและชาย หรือนิมิต อันเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส มีสุภนิมิตเป็นต้น ด้วยอำนาจฉันทราคะ. เพียงเห็นเท่านั้นนิมิตไม่ปรากฏ.
บทว่า อนุพฺยญฺชนคฺคาหี ถืออนุพยัญชนะ คือถืออากาหันต่างด้วยมือ เท้า หัวเราะ ขบขัน พูด ชำเลืองดูและการเหลียวดูเป็นต้น เรียกว่าอนุพยัญชนะ เพราะทำให้ปรากฏ โดยเป็นเหตุให้กิเลสทั้งหลายปรากฏ.
พึงทราบความในบทว่า ยตฺวาธิกรณเมนํ เป็นต้น ดังต่อไปนี้.
ธรรมทั้งหลายมีอภิชฌาเป็นต้นเหล่านี้ พึงครอบงำติดตามบุคคลนั้นผู้ไม่สำรวมจักขุนทรีย์ด้วยประตูคือสติ ผู้ไม่ปิดจักษุทวารอันเป็นเหตุแห่งการไม่สำรวมจักขุนทรีย์
บทว่า ตสฺส สํรราย น ปฏิปชฺชติ ย่อมไม่ปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ คือย่อมไม่ปฏิบัติเพื่อปิดจักขุนทรีย์นั้น ด้วยประตูคือสติ ท่านกล่าวว่า ภิกษุเป็นอย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมไม่รักษาจักขุนทรีย์ ไม่ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์บ้าง. ในบทนั้น การสำรวมหรือไม่สำรวม ย่อมไม่มีในจักขุนทรีย์โดยแท้. เพราะสติหรือการหลงลืมย่อมไม่เกิดขึ้นเพราะอาศัย จักษุประสาท อีกอย่างหนึ่ง เมื่อใดรูปารมณ์มาสู่คลองจักษุ เมื่อนั้น เมื่อภวังคจิตเกิดขึ้นแล้วดับไปสองครั้ง กิริยามโนธาตุยังอาวัชชนกิจให้สำเร็จ เกิดขึ้นแล้วดับไป. แต่นั้นจักษุวิญญาณก็ทำหน้าที่เห็น แต่นั้นวิปากมโนธาตุ ทำหน้าที่รับ แต่นั้นวิปากอเหตุกมโนวิญญาณธาตุ ทำหน้าที่พิจารณา แต่นั้นกิริยาอเหตุกมโนวิญญาณธาตุยังโวฏฐัพพกิจให้สำเร็จ เกิดขึ้นแล้วดับไป ในลำดับนั้นชวนจิตย่อมแล่นไป ความไม่สำรวมหรือความสำรวมย่อมไม่มีในสมัยแห่งภวังคจิตแม้นั้น ย่อมไม่มีในสมัยใดสมัยหนึ่ง บรรดาอาวัชชนจิตเป็นต้น ก็ในขณะชวนจิต หากว่า ความเป็นผู้ทุศีล ความหลงลืม ความไม่รู้ ความไม่อดทน หรือความเกียจคร้านเกิดขึ้น ความไม่สำรวมย่อมมี. ภิกษุเมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ ท่านเรียกว่าเป็นผู้ไม่สำรวมในจักขุนทรีย์. เพราะเหตุไร เพราะเมื่อไม่มีการสำรวมในจักขุนทรีย์มีอยู่ แม้ทวารก็ไม่เป็นอันคุ้มครอง แม้ภวังคจิต แม้วิถีจิต มีอาวัชชนะเป็นต้น ก็ไม่เป็นอันคุ้มครอง เหมือนอะไร. เหมือนเมื่อประตู ๔ ด้านในนครไม่ปิด แม้จะปิดประตู เรือนซุ้มและห้องเป็นต้นข้างในก็ตาม ถึงดังนั้นก็ไม่เป็นอันรักษาคุ้มครอง ทรัพย์ทั้งหมดภายในนครนั่นเอง โจรทั้งหลายเข้าไปทางประตูนคร พึงทำตามความต้องการฉันใด เมื่อความเป็นผู้ทุศีลเป็นต้น เกิดขึ้นในชวนจิต เมื่อไม่มีการสำรวมนั้น แม้ทวารก็ไม่เป็นอันคุ้มครอง แม้ภวังคจิต แม้วิถีจิตมีอาวัชชนะเป็นต้น ก็ไม่เป็นอันคุ้มครองฉันนั้นนั่นแล.
ข้อความบางตอนจาการสนทนาธรรมโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เราจะไปทำอะไรกับเห็นไม่ได้เลยนอกจากเรารู้ว่าขณะนี้ สี่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ มันเป็นเพียงสี่งที่ปรากฏ ซึ่งแต่ก่อนนี้ เราไม่เคยมีโอกาสที่จะมารู้ความจริงมันเลย เพราะว่าเห็นทีไร เราก็ไปนึกเป็นคน เป็นอะไร ทีนี้ต่อไปนี้เราจะหันความชินของเรา มาที่จะระลึกรู้ว่ามันเป็นเพียงสี่งที่ปรากฏ แล้วจะรู้เลยว่าความเข้าใจมันเป็นการเรี่มต้น ของการที่จะรู้ความจริง ว่าสี่งที่ปรากฏทางตา ที่่อีกหน่อยเราจะชินเลย แล้วเราจะรู้ ว่ามันไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์แต่ว่ามันจะต้องมาจากความเห็นถูกขั้นต้น ทีรู้ว่ามันเป็นเพียงสี่งที่ปรากฏ
- มีคน มีวัตถุหลายอย่าง ในสี่งที่ปรากฏ นี่คือความเห็นผิดที่จะต้องรู้ว่า ขณะนั้นน่ะ นึก สี่งที่ปรากฏทางตา เพียงปรากฏทางตา แล้วไม่มีสี่งอื่นใดทั้งสี้น
- ขณะนี้รู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏทางตาหรือยัง เท่านี้ค่ะ ไม่ต้องไปที่อื่นเลย ทางตา ที่จริงมี สี หลายสี ปรากฏ