ข้อควรปฏิบัติที่ถูกต้อง

 
natural
วันที่  3 ก.ค. 2557
หมายเลข  25053
อ่าน  5,263

ขอรบกวนเรียนถามว่า

1. การถามคำถามทางธรรมะโดยมีเจตนาเพื่อความรู้ความเข้าใจในพระธรรม แต่ไม่ทราบถึงความเหมาะควร มีหลักพิจารณาในการถามหรือไม่ อย่างไรคะ

2. ข้อควรปฏิบัติของแม่ชีในทางพระพุทธศาสนามีกล่าวไว้หรือไม่ อย่างไรคะ เพื่อการปฏิบัติต่อแม่ชีอย่างถูกต้องค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1. การถามคำถามทางธรรมะโดยมีเจตนาเพื่อความรู้ความเข้าใจในพระธรรม แต่ไม่ทราบถึงความเหมาะควร มีหลักพิจารณาในการถามหรือไม่ อย่างไรคะ

@ การถามปัญหาธรรม ก็ตามแต่การสะสมของแต่ละคน ที่เป็นแต่ละคน แต่ละหนึ่ง ที่สะสมมาไม่เหมือนกัน หากแต่ว่า การถามปัญหาธรรมที่ดี คือ ควรเริ่มจากเบื้องต้น เพราะบางครั้ง ก็ล่วงเลยในสิ่งที่ไม่สามารถจะรู้ได้ เช่น นิพพาน ปฏิจจสมุปบาท เพราะเป็นเรื่องที่ยาก แสนไกล เพียงอธิบายตอบไป ก็ไม่สามารถที่จะรู้ ตรึกได้ ด้วยการคิดนึก การถาม จึงควรเป็นสิ่งที่ควรรู้ ไม่เหลือวิสัย คือ ในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดี ก็ตามแต่การสะสมของแต่ละคน ในการถามเป็นสำคัญ ซึ่งไม่สามารถเจาะจงให้ใครถามเรื่องนั้น เรื่องนี้ ตามแต่เหตุปัจจัยให้คิดนึกตรึกตามเรื่องที่จะถาม ครับ

2. ข้อควรปฏิบัติของแม่ชีในทางพระพุทธศาสนามีกล่าวไว้หรือไม่ อย่างไรคะ เพื่อการปฏิบัติต่อแม่ชีอย่างถูกต้องค่ะ

ในความเป็นจริง แม่ชี ก็คือ อุบาสิกา ที่ถือศีลมากกว่า ศีล 5 ซึ่งในพระพุทธศาสนาไม่มีแม่ชี แต่เป็นการแต่งตั้งกันมาเองในรุ่นหลัง เพราะฉะนั้น การประพฤติที่สมควรที่มีต่อคฤหัสถ์อย่างไร ก็ควรมีอย่างนั้น ที่เหมือนเป็น คฤหัสถ์ด้วยกัน ที่ไม่ใช่ปฏิบัติดั่งเช่นนักบวช ครับ การช่วยเหลือ เมตตา อนุเคราะห์ด้วยอาหาร ที่สมควรทำกับผู้อื่นกับคฤหัสถ์อย่างใดที่เป็นความดี ก็ควรทำกับบุคคลที่สมมติเรียกว่าแม่ชีฉันนั้น ไม่ใช่พิเศษดั่งเช่น บรรพชิต ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
natural
วันที่ 3 ก.ค. 2557

เรียนถามเพิ่มเติมว่า ศีล กับ วินัย ต่างกันหรือไม่ อย่างไร และหากแม่ชีทำผิดศีล ผิดวินัย จะต้องปลงอาบัติเหมือนพระหรือไม่คะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 3 ก.ค. 2557

ธรรมเปนเรื่องละเอียดลึกซึ้ง แมแตคําวา ศีล และ วินัย ก็มีความละเอียดลึกซึ้ง เพราะลวนแลวแตเปนสภาพธรรมที่มีความลึกซึ้งในตัวของมันเอง

คําวา วินัย โดยความหมายทางโลก หมายถึง ระเบียบขอประพฤติปฏิบัติ เปนวินัย แตในความเปนจริงในพระพุทธศาสนา วินัย หมายถึง เครื่องกําจัด กําจัดอยางวิเศษ ขัดเกลาอยางวิเศษ กําจัด ขัดเกลาอะไร ก็ตองเปนการกําจัด สภาพธรรมที่ไมดี ที่เปนอกุศลธรรมและกิเลส สภาพธรรมอะไรก็ตามที่กําจัดเสียซึ่งความไมดี ชื่อวา วินัย

วินัย มี 2 อยาง คือ สังวรวินัย และ ปหานวินัย

สังวรวินัย คือ เครื่องกําจัดกิเลส ดวยการสังวร หรือ สํารวม ซึ่งแบงเปนสังวร 5 อยาง คือ สีลสังวร สติสังวร ขันติสังวร ญาณสังวร วิริยะสังวร

สังวรทั้ง 5 อยางนี้ เป็นสวนหนึ่ง ของ วินัย ที่เปน สังวรวินัย ซึ่ง สีลสังวร ก็คือ การสํารวมดวยศีล ถาเปนคฤหัสถก็ศีล 5 ถาเปนบรรพชิต ก็สิกขาบท เพราะ สีลสังวร เปนวินัย เพราะ กําจัดกิเลสที่หยาบทางกาย วาจา สติสังวร คือ การสํารวมดวยสติ คือ ขณะที่สติปฏฐานเกิด รูลักษณะสภาพธรรมทางตา หู..ใจ ญาณสังวร การสํารวมดวยปญญา ขันติสังวร การสํารวมดวยขันติ และ วิริยสังวร การสํารวมไมใหกิเลสเกิดดวย วิริยะ

จะเห็นนะครับวา ที่กลาวมา ลวนแลวแตเปนสภาพธรรมที่เปนเครื่องกําจัดกิเลส ที่เปนอรรถ ความหมายของวินัย

ศีล

สวน ศีลนั้นก็มีหลากหลายนัย ศีล หมายถึง ความประพฤติที่งดเวนทางกาย วาจา ก็ได  (วารีตศีล) ศีล ยังหมายถึง การประพฤติสิ่งที่สมควรทางกาย วาจา (จารีตศีล) มีการเลี้ยงดู มารดา บิดา เปนตน และศีล ยังหมายถึง ความเปนปกติ ที่เปนทั้งกุศลศีล อกุศลศีล แตเมื่อกลาวโดย ศีลที่เปนขอประพฤติปฏิบัติเพื่อละกิเลส ยอมมุงหมายถึง กุศลศีล ดังนั้น ศีลที่งดเวนทางกาย วาจา ก็เชน ศีล 5 ศีลของพระภิกษุ จึงชื่อวา สีลสังวร

ในพระธรรมที่พระพุทธเจาทรงแสดงในพระไตรปฎก ทรงแสดง วา ศีล มี 4 อยาง คือ

1.เจตนา เปน ศีล

2.เจตสิก เปน ศีล

3.ความสํารวม สังวร เปนศีล

4.การไมกาวลวงเปนศีล

เจตนา เปน ศีล หมายถึง เจตนาที่งดเวนจาก การฆาสัตว ลักทรัพย ประพฤติผิดในกาม เปนตน เชน ยุงกัด ก็ไมตบ ขณะที่งดเวน ไมตบในขณะนั้น ก็เปน ศีล ที่เปนเจตนาศีล เจตนางดเวนจากการฆาสัตว

เจตสิก เปน ศีล คือ การงดเวนจากความโลภ (อนภิชฌา) งดเวนจากการพยาบาท (อพยาบาท) และ มีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) ชื่อวา เจตสิกศีล

การไมกาวลวงเปนศีล คือ เจตนาสมาทานศีล หรือที่ถือเอาดวยดี ดวยตั้งใจที่จะขอรักษาศีล เชน ไปตอหนาพระ และขอสมาทานจะรักษาศีล ขณะนั้นมีเจตนาที่จะประพฤติ รักษากาย วาจาที่เปนไปดวยดี ชื่อวา เปนศีล เพราะ มีความไมกาวลวงดวยการสมาทานศีล ครับ จึงเปนศีล

ความสํารวม หรือ สังวร เปน ศีล ความสํารวม สังวรในที่นี้ ไมไดหมายถึงการสํารวมภายนอกที่ทําสํารวม กิริยาสํารวม แต สํารวม สังวร หมายถึง การสํารวมดวยจิตที่เปนกุศล มุงที่ จิต เปนสําคัญ ซึ่งการสํารวม หรือ สังวร นั้นมี 5 ประการ คือ

-ปาฏิโมกขสังวร คือ การประพฤติงดเวนและปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติของพระภิกษุ ชื่อวาเปน ศีล

-สติสังวร คือ การมีสติระลึกลักษณะของสภาพธรรม ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชื่อวา สติสังวร เปนศีล

-ญาณสังวร ปญญาเกิด ละกิเลส ชื่อวา สังวรดวยปญญาและการพิจารณาสิ่งที่ไดมาที่เปนปจจัย มี อาหาร เปนตนของพระภิกษุ พิจารณาดวยปญญาแลวจึงบริโภค ก็ชื่อวาญาณสังวร เปนศีลในขณะนั้นดวยครับ คือ ปจจยสันนิสิตตศีล

-ขันติสังวร ความเปนผูอดทนตอหนาวและรอน เปนตน ชื่อวา สํารวมดวยขันติ

-วิริยสังวร คือ ปรารภความเพียรไมใหอกุศลที่เกิดขึ้นแลว เจริญขึ้น เปนตน ชื่อวาสํารวมดวยวิริยะ

จากที่กลาวมา จะเห็นนะครับวา ศีล นั้น เปนสวนหนึ่งของวินัย คือ สังวร 5 ที่เปนศีลก็เปน วินัย และ สีลสังวร ก็เปนสวนหนึ่งของวินัย ดวยเหตุผลที่วา วินัย หมายถึงเครื่องกําจัดกิเลส เพราะฉะนั้น ศีล ก็เปนธรรมสวนหนึ่ง ที่กําจัดกิเลส วินัย จึงกวางกวา ศีล โดยนัยนี้ ครับ

วินัย ยังแบงเปน สังวรวินัย ไดกลาวไปแลว และยังแบงเปน ปหานวินัย ซึ่ง มี 5 อยางดังนี้

ตทังคปหาน วิกขัมภนปหาน สมุจเฉทปหาน ปฏิปสสัทธิปหาน และนิสสรณปหาน

ปหาน หมายถึง การสละ การละ ซึ่งก็มีหลากหลายนัยดังนี้ ครับ

-ตทังคปหาน คือ การละองคนั้นๆ ดวยวิปสสนาญาณ เชน ขณะที่เกิดวิปสสนาญาณ ขั้นที่ 1 ก็ละ ความยึดถือวาเปนสัตว บุคคล ชั่วขณะนั้น ละ ความไมรู กิเลสในชั่วขณะนั้น ครับ เปนวินัยเพราะ กําจัดกิเลสในขณะนั้นชั่วขณะ

-วิกขัมภนปหาน หมายถึง ฌานขั้นตางๆ ขณะนั้น ละ กําจัด นิวรณ มีความติดของในขณะนั้น เปนตน ครับ

-สมุจเฉทปหาน การละกิเลสไดเด็ดขาด ดวย มรรคทั้ง 4 ชื่อวา สมุจเฉทปหาน

-ปฏิปสสัทธิปหาน คือ ขณะที่เปนผลจิต เปนการระงับกิเลสที่ละไดแลว

-นิสสรณปหาน คือ พระนิพพาน เพราะ ละ สภาพธรรมที่เปนเครื่องปรุงแตง คือ จิต เจตสิก รูปไมมีอีกเลยในพระนิพพาน ครับ

สรุปไดวา การละทั้งหมด การกําจัดทั้งหมด เปนวินัย วินัยจึงกวางขวาง ครอบคลุมทั้ง ศีล สมาธิ และปญญา มรรค ผล นิพพาน สวนศีล แคบกวา เปนเพียงศีล และเปนสวนหนึ่งของวินัย เพราะ ศีล ก็เปนเครื่องกําจัด ละกิเลสไดเชนกัน แตก็ตามระดับของศีล ครับ

ส่วน ที่สมมติว่าแม่ชี ก็คือ อุบาสิกาที่ถือศีลมากกว่า แต่ไม่ใช่นักบวช บรรพชิต ก็ไม่มีอาบัติสำหรับแม่ชี เพียงแต่ รักษาศีล 8 ศีล 10 ถ้าประพฤติผิด ศีล ตามที่ประพฤติ ก็สมาทานศีลใหม่ ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
natural
วันที่ 3 ก.ค. 2557

เรียนถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเจตสิกศีล ในเรื่องความเห็นถูก เท่าที่ทราบความเห็นผิดเป็นอกุศลกรรมบททางใจ ตราบใดที่ไม่พ้นจากความเป็นปุถุชนแล้ว จะไม่เกิดความเห็นถูกได้จริงๆ ใช่หรือไม่ และอกุศลกรรมบททางใจต่างจากมโนกรรมหรือไม่ อย่างไรคะ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 3 ก.ค. 2557

เรียนความเห็นที่ 4 ครับ

ตราบใดที่เป็นปุถุชน ก็มีการเกิดทั้งความเห็นผิดและความเห็นถูกครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ

เรื่องมโนกรรม

ขอเรียนถาม เรื่องมโนกรรม

มโนกรรมที่ล่วงอกุศลกรรมบท

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 3 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

-ผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ย่อมไม่ละเลยโอกาสสำคัญที่จะทำให้ตนเองได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการฟัง พิจารณาไตร่ตรองในคำที่ได้ยินได้ฟัง หรือ ถ้าเกิดความสงสัย ก็สนทนาสอบถามเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ตรงตามความเป็นจริง

-การบวชเป็นชี ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม่ชี จึงไม่ใช่นักบวชในพระพุทธศาสนา แต่เป็นอุบาสิกา เป็นคฤหัสถ์ที่มีศรัทธาจะรักษาศีล ๘ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว แม้ไม่บวชเป็นชี แต่ถ้ามีความเข้าใจธรรม รู้อัธยาศัยของตน รู้จุดประสงค์ที่ถูกต้องในการรักษาศีล ก็ย่อมสมาทานรักษาศีลได้ตามโอกาสอันสมควร และที่สำคัญ ต้องไม่ลืมความหมายของ อุบาสิกาที่แท้จริง คือ ผู้นั่งใกล้ศาสนา ไม่ละเลยโอกาสที่สำคัญที่จะทำให้ตนเองได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม การเกื้อกูลต่อแม่ชี ก็สามารถกระทำได้ ตามความเหมาะสม แต่ขอให้ได้พิจารณาว่า แม่ชี ไม่ใช่บรรพชิต ครับ

-พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ นั้น มีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง สำคัญที่ความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยใดก็ตาม ไม่พ้นไปจากเพื่อให้เข้าใจตามความเป็นจริง จะเห็นได้ว่า พระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เป็นไปเพื่อกำจัดขัดเกลาบาปธรรม ขัดเกลาธรรมที่เป็นอกุศลไปตามลำดับ จนกว่าจะสามารถดับได้จนหมดสิ้น แม้ในเรื่องของศีล ก็ดี วินัย ก็ดี ไม่พ้นไปจากการขัดเกลากิเลส ถ้ากล่าวโดยความหมายแล้ว วินัย มีความหมายหลายอย่าง แต่ที่พอจะเข้าใจได้ชัดเจนที่สุด คือ วินัย แปลว่า ขจัดธรรมฝ่ายเศร้าหมองออกไป พระธรรมทั้งหมดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เป็นเพื่ออย่างนี้

สำหรับ ศีล มีอรรถที่กว้างขวางมาก การวิรัติงดเว้นจากทุจริตประการต่างๆ ก็เป็นศีล การน้อมประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม ก็เป็นศีล การสำรวมระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ปิดกั้นไม่ให้อกุศลเกิดขึ้นที่เป็นการสำรวมอินทรีย์ ก็เป็นศีล, ในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นพร้อมด้วยองค์มรรค ทั้ง ๘ องค์ ซึ่งมีองค์ของศีล (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ) ด้วย ก็เป็นศีล ที่เป็นโลกุตตรศีล ทั้งหมดนั้น ก็ล้วนเป็นไป เพื่อกำจัดขัดเกลากิเลสเช่นเดียวกัน

เมื่อมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มากยิ่งขึ้น เข้าใจเพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้มีการงดเว้นจากทุจริตประการต่างๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง พร้อมทั้งเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่เราที่รักษาศีล แต่เป็นธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น เป็นศีลที่ประกอบด้วยปัญญา ศีลจะบริสุทธิ์ขึ้น เพราะมีความเข้าใจถูก เห็นถูก เพิ่มขึ้น ซึ่งจะต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 3 ก.ค. 2557

มโนกรรม ต้องมีการกระทำ ถึงครบกรรมบถ เช่นคิดในใจแล้วขโมยของเขา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ประสาน
วันที่ 4 ก.ค. 2557

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Chalee
วันที่ 4 ก.ค. 2557

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kullawat
วันที่ 4 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
natural
วันที่ 4 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
orawan.c
วันที่ 11 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ