ฐานะ อฐานะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
กราบเท้า บูชา พระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาสำหรับกุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ
ด้วยความเคารพ จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)
ขอเชิญรับฟัง...
ถ้า ไม่มี “ปริยัติ” คือ การศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ก็”ไม่ใช่ฐานะ” ที่จะถึง “ปฏิบัติ” คือ การระลึกรู้ สภาพธรรม ที่ปรากฏ และถึง “ปฏิเวธ” คือ การประจักษ์แจ้ง แทงตลอด ในสภาพธรรม โดยลำดับ
แต่ ถ้า มีความเข้าใจถูก ว่า ขณะนี้ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ และ ปัญญา เจริญขึ้น โดยลำดับก็”เป็นฐานะ” ที่จะ ระลึกรู้ และ ประจักษ์แจ้ง สภาพธรรม ตามความเป็นจริงได้ ฟังธัมมะ ๒๐ ปี นะคะ จะเป็น ”พระโสดาบัน” ได้ไหม เป็นฐานะ ที่จะเป็นไปได้ หรือเปล่า ไม่ขึ้นอยู่กับ จำนวนวันเดือนปี แต่ “ ความเข้าใจ “ สิ่งที่ได้ฟัง มากน้อย แค่ไหน
ถึงจะฟัง มากกว่า ๒๐ ปี แต่ก็ ไม่ได้ “ เข้าใจ ” สิ่งที่กำลังปรากฏ แม้จะ ได้ยินบ่อยๆ เช่น เห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ไม่ได้กล่าวว่า คนหรือสัตว์เลย ถูกต้องไหม เห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ คือ เห็นเสียงไม่ได้ เห็นกลิ่นไม่ได้ เห็นแข็งไม่ได้ แต่ เห็น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ รูปเดียว สิ่งเดียว ที่มีจริง ที่ปรากฏให้เห็นได้ คือ สิ่งที่กำลังปรากฏ
รู้เพียงเท่านี้ค่ะ เป็นฐานะ ที่จะทำให้ ละคลาย การยึดถือ สิ่งที่เคยยึดถือว่า เห็นคน เห็นสัตว์ เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ ได้หรือยัง ทั้งๆ ที่ รู้ว่า จริง จะไปเห็นแข็งได้ยังไง เห็นเสียงได้ยังไง เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แม้ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลยทั้งสิ้น แต่ มีจริงๆ ค่ะ เป็นสิ่งเดียว ที่ปรากฏ ให้เห็นได้ ว่า มีลักษณะอย่างนี้แหละ เป็นอย่างนี้แหละ ไม่เป็นอย่างอื่น ไม่ใช่คน ไม่ใช่อะไรเลยทั้งสิ้น เหมือน มองเงาในกระจก มีใคร ในกระจก หรือเปล่า มี หรือเปล่า
แต่ เห็นทีไร “เป็นเรา“ ทุกที ไม่ได้ เข้าใจเลย สักนิด ว่า เป็นแต่เพียง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ฉันใด เดี๋ยวนี้ ก็เหมือนกัน ไม่ว่า จะ “เห็น” ที่ไหน โลกไหน วันไหน ก็ตาม “สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้” ที่จะ ละคลายความติดข้อง ละคลายการยึดถือ ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ด้วย การเพิ่มความเข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย
ไม่ลืมว่า ขณะนี้ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ถ้า รู้ว่า “ทุกอย่าง เกิดดับ อย่างเร็วมาก” จักขุปสาทะ ไม่เที่ยง ข้อความ ใน พระไตรปิฎก ทุกคน ก็ผ่าน สิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งภาษาบาลี ใช้คำว่า รูปารัมมะณะ หรือ รูปารมณ์ หรือจะใช้คำว่า วัณโณ ก็ได้ ก็ไม่เที่ยง ได้ยินอย่างนี้ แต่ก็เหมือนเที่ยง ยังไม่เห็นปรากฏ การดับไปเลย พร้อมกันนั้น การเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว นะคะ ก็ปรากฏพร้อม “นิมิต“ ที่ตั้งขึ้นว่า เป็นรูปร่างสัณฐานอย่างนี้ จำไว้เลยว่า นี่เป็นอะไร
เพราะฉะนั้น กว่าจะไถ่ถอน การยึดถือ สภาพที่ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นสิ่งที่ ความจริง เพียงปรากฏว่ามีจริงๆ แล้วปรากฏ ให้เห็นได้ ที่จะเข้าใจว่า เป็นธัมมะ ซึ่ง ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น ฟังเท่านี้ เป็นฐานะ ที่จะทำให้ รู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระโสดาบัน ได้ไหม “ฐานะ“ หรือ “อฐานะ“ ไม่ใช่ฐานะ ที่จะเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่เข้าใจว่าไม่ต้องศึกษาปริยัติ ไม่ต้องศึกษาพระพุทธพจน์ให้เข้าใจ ปฏิปัตติ แล้วก็จะ รู้ ปริยัติ นี่ก็ไม่ตรง ค้านกับพระพุทธพจน์ เพราะว่า ความจริง ปัญญา ต้องเจริญขึ้น ตามลำดับ คือ จาก “ปริยัตติ“ รอบรู้ในพระพุทธพจน์ วาจาสัจจะ พูดถึง สิ่งที่เป็นจริง ในขณะนี้ ทั้งหมด ความจริงของสิ่งที่เป็นจริง สามารถที่จะ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น จะถึง ปัญญา ที่สามารถ “เข้าถึง“ ความจริง ที่กำลังปรากฏ ของ ธัมมะ แต่ละหนึ่ง ซึ่ง กำลังเกิดดับ เป็น ทุกขะอริยะสัจจะ ได้อย่างไร นี่ก็คือ การศึกษา ต้องตามลำดับ
จาก “ปริยัตติ“ ก็จะเป็นปัจจัย ทำให้เกิด “ปฏิปัตติ“ สามารถ ที่จะ เข้าใจลักษณะของสภาพธัมมะ ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ตามความเป็นจริง จนถึง “ปฏิเวธะ“ ประจักษ์แจ้ง แทงตลอด ความจริงของธัมมะ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เพราะฉะนั้น นี่ เป็น “ฐานะ“ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ ถ้า “อฐานะ“ ก็คือ คิดว่า ไม่ต้องศึกษาธัมมะเลย เพียงจะไปทำอะไร แล้วก็เข้าใจว่า จะสามารถรู้ การเกิดดับ เป็นอนัตตา ของสภาพธัมมะ นี่ก็ไม่ถูกต้องนะคะ เป็น “อฐานะ“
เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรง รู้ ฐานะของตนเอง ก็จะทำให้ เข้าใจ แม้บารมี ว่า ถ้าขาดคุณความดี ซึ่งเป็นกุศลธรรม มีแต่ อกุศลธรรม เพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่ง หนาแน่น แล้วก็ เป็น กิเลส ที่ เศร้าหมอง มัวหมอง เป็นมลทิน แล้วก็จะสามารถไป “รู้“ ลักษณะของสภาพธัมมะ ที่กำลังปรากฏ และ “เข้าใจถูก“ ตามความเป็นจริง ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น “แต่ละคำ“ ถ้า มี ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ก็สอดคล้องกันทั้งหมดเพราะเหตุว่า เป็นสัจจะ เป็นความจริง ไม่หลอกตัวเอง แล้วก็รู้ด้วยว่า ถ้าไม่มีความดี ซึ่งเป็นบารมี ก็ไม่สามารถ ที่จะให้ จิตเป็นกุศล พอที่ รู้ ความจริงได้ เพราะเหตุว่า อกุศล เพิ่มขึ้น ทุกวัน แล้ว วันนี้ “เติมความดีบ้างหรือยัง“ หรือว่า ก็ “ยังคง มี อกุศล เรื่อยไป“ ทั้ง ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ