ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๑

 
khampan.a
วันที่  13 ก.ค. 2557
หมายเลข  25091
อ่าน  2,624

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๑

ต้องเป็นผู้ที่อดทนจริงๆ แล้วก็เข้าใจจริงๆ ว่า ถ้าตราบใดปัญญายังไม่เกิดขึ้นไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจจริงๆ ก็เป็นผู้ที่ไม่ละเลย แล้วก็ไม่เว้นไปสู่ผลอื่น แต่เป็นผู้ที่ตั้งใจมั่นที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จนกว่าปัญญาจะรู้ชัดในภพหนึ่งภพใด ในชาติหนึ่งชาติใดในสังสารวัฏฏ์ แต่ไม่ใช่หันความต้องการไปทางอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางเลยที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงได้ ย่อมไม่ใช่หนทางที่จะทำให้กิเลสดับเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ได้

เรื่องของธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด อย่าติดที่คำ อย่างท่านที่ศึกษาบาลี ก็ควรที่จะได้ทราบจุดประสงค์ของการศึกษาบาลีว่า เพื่ออะไร เพื่อที่จะรู้ภาษาบาลี หรือเพื่อที่จะเข้าใจพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดยิ่งขึ้น หรือว่าโดยความถูกต้องยิ่งขึ้น เพราะพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ เมื่อเป็นภาษาบาลี แล้วก็แปลเป็นภาษาไทย ย่อมจะต้องพิสูจน์สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเทียบเคียงให้เข้าใจภาษาที่ตนใช้ว่า หมายความว่าอะไร

ยุคนี้สมัยนี้ แม้ว่าพระธรรมจะยังอยู่ครบถ้วน แต่ก็จะต้องอาศัยการศึกษา การพิจารณาไตร่ตรองโดยละเอียดจริงๆ เพื่อที่จะให้เข้าใจสภาพธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง

ถ้าเห็นคนที่พิการ มีอาการวิกลวิกาลต่างๆ เคยคิดบ้างไหม ว่า เคยเป็นอย่างนี้มาแล้วในกาลนานมาแล้ว หรือว่าอาจจะเป็นอย่างนี้ หรือยิ่งกว่านี้ในอนาคต

ไม่ว่าจะเคยเห็นใครก็ตามที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่างๆ หรือเป็นผู้ที่พิการ หรือมีความทุกข์ ความทรมานอย่างหนึ่งอย่างใด ให้ทราบว่าทุกท่านเคยเป็นมาแล้ว ไม่ใช่ไม่เคยเลย เพราะฉะนั้น ไม่ควรที่จะประมาท ไม่ควรที่จะดูหมิ่นหรือว่าไม่ควรที่จะนึกรังเกียจ แต่ว่าควรจะเป็นคติให้ระลึกได้ว่า เคยเป็นอย่างนี้มาแล้วและอาจจะเป็นอย่างนี้อีกก็ได้

ถ้ามีเหตุปัจจัยที่จะพูดคำพูดที่ไม่ดีงาม ก็พูดแล้วทันที ทั้งๆ ที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีก หรือการกระทำทางกายก็เหมือนกัน เห็นแล้วว่าเป็นโทษ เห็นแล้วว่าไม่ดี ตั้งใจแล้วที่จะไม่กระทำ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัย ก็เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นอีก เพราะฉะนั้น มีหนทางเดียว คือว่าเป็นผู้มีสติที่จะระลึกรู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนจริงๆ ในขณะจิตที่เกิดตั้งใจจะไม่กระทำชั่ว ขณะนั้นเป็นกุศล แต่ขณะที่เสียใจ เป็นทุกข์ ไม่แช่มชื่น ไม่พอใจ ขณะนั้นเป็นอกุศล

เวลานี้มีแต่สภาพธรรมเท่านั้นที่กำลังเป็นของจริงที่ปรากฏ เคยคิดว่าเป็นเราเป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว ล้วนเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างทั้งหมดที่กำลังปรากฏ และสภาพธรรมนั้นมี ๒ ประเภท คือ สภาพธรรมที่สามารถรู้กับธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย

เรื่องของปัญญาที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นเรื่องที่จะต้องค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ อบรมขึ้น ค่อยๆ ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องทำ ไม่ใช่เป็นเรื่องเพ่ง แล้วก็ไม่ใช่เป็นเรื่องจ้อง แต่เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้นั่นเอง

ปรมัตถธรรมเป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่ขณะอื่น แต่ขณะนี้เอง เดี๋ยวนี้เองที่เป็นปรมัตถธรรม เพราะไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เพียงเท่านี้ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่าในขณะที่กำลังเห็น รู้ชัดจริงๆ อย่างที่ได้ฟังหรือเปล่าว่า สภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน


พระธรรมที่ทรงแสดง แสดงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งทนต่อการพิสูจน์ที่สามารถจะอบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งประจักษ์ชัดในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ตามความเป็นจริงได้

การศึกษาธรรมนี้เพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ชัดเจนขึ้น ให้ถูกต้องขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ในอรรถของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟังถูกต้อง นั่นคือจุดประสงค์ และผู้ใดที่ศึกษาอย่างนี้ ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ เพื่อจุดประสงค์อย่างนี้ จึงไม่ใช่ใบลานเปล่า ไม่ใช่โมฆบุรุษ (บุรุษว่างเปล่าจาก

ความเข้าใจถูกเห็นถูก)

เมื่อศึกษาแล้ว ต้องพิจารณาจึงจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง มิฉะนั้นแล้ว อาจจะเข้าใจธรรมผิด เป็นเหตุให้ประพฤติปฏิบัติผิด ซึ่งเป็นโทษ เป็นทุกข์สิ้นกาลนานเปรียบเหมือนการจับงูพิษ ซึ่งถ้าจับไม่ดี ก็จะกัดบุรุษนั้น แล้วก็ทำให้เกิดทุกข์โทษภัย จนกระทั่งสิ้นชีวิตได้ เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาธรรมแล้ว ต้องพิจารณา เพื่อที่จะได้ประพฤติปฏิบัติให้ถูก ต้องเข้าใจว่าที่ศึกษานี้ เพื่อประพฤติปฏิบัติถูก

ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง คือ ธรรมที่มีจริง ที่กำลังปรากฏรอบตัว เพราะฉะนั้น ที่จะศึกษาเรื่องของธรรม คือ ศึกษาเรื่องสภาพธรรมที่เห็นสภาพธรรมที่ได้ยิน สภาพธรรมที่ได้กลิ่น สภาพธรรมที่ลิ้มรส สภาพธรรมที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ที่คิดนึก ที่เกิดขึ้นเป็นปกติ เพราะเหตุปัจจัย ตามความเป็นจริง

การปฏิบัติถูก ก็คือการระลึกรู้ แล้วศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ยิน ได้ฟัง จนกว่าการเห็นถูก ความเข้าใจถูกตรงตามที่ทรงแสดงจะค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ เจริญขึ้น รู้ในสภาพธรรมที่เป็นธรรม ที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน จนกว่าจะประจักษ์ชัด

การศึกษาปริยัติธรรมก็มีมาก แต่การปฏิบัติผิดก็มีมากด้วย นี่ก็แสดงให้เห็นถึงการศึกษาโดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะศึกษาธรรมต้องเข้าใจจุดประสงค์จริงๆ ว่า ศึกษาเพื่ออะไร และธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ การศึกษา คือการฟังให้เข้าใจชัดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าสติจะระลึกแล้วก็ศึกษาจนกระทั่งประจักษ์ชัดในลักษณะของธรรมที่ปรากฏตามที่ทรงแสดงไว้

เพียงคำสั้นๆ ที่ว่า “สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็มีการดับไปเป็นธรรมดา” ก็ยังสามารถจะประจักษ์การเกิดดับได้ ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใด คือ ธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ทางหนึ่งทางใด ลักษณะหนึ่งลักษณะใด ถ้าผู้นั้นอบรมเจริญปัญญามาพอ

แต่ละชีวิตเกิดในขณะที่ปฏิสนธิประมวลมาซึ่งกรรมและสิ่งที่มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นไปในชาตินั้นตามกำลังที่ได้ประมวลมาสำหรับปฏิสนธิจิตในขณะนั้น ซึ่งเมื่อเกิดมาเป็นคน ก็เป็นผลของกุศลกรรม ประกอบด้วยปัญญาและไม่ประกอบด้วยปัญญา อันนี้ก็ต่างกันนัยหนึ่ง ก็จะเห็นได้ถึงแต่ละบุคคล มีความสนใจ มีความเข้าใจธรรม มีการศึกษา ประพฤติปฏิบัติตามละเอียดขึ้นหรือเปล่า ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นไปตามการสะสม เราจะให้คนที่เขาไม่ได้สะสมปัญญา ให้เขามีความเข้าใจธรรม จนกระทั่งสามารถรู้แจ้งสภาพธรรมได้ไหม ก็ไม่ได้

การเห็นกันครั้งหนึ่งๆ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่าจะเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะถ้าคิดว่า อาจเป็นการเห็นกันครั้งสุดท้ายก็อาจจะทำให้จิตใจอ่อนโยนแล้วมีความเมตตากรุณาต่อกัน
ตราบใดที่ยังมีกิเลส ที่จะไม่ให้หวั่นไหว นั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะความหวั่นไหว คือ อกุศล เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย

ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าก่อนตายควรจะทำอะไร?


ขณะใดที่มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ขณะนั้นสงบจากความติดข้อง

สิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่ควรรู้

สะสมความไม่รู้มานานแสนนาน ฟังพระธรรมเพียงนิดหน่อย แล้วจะรู้ความจริงได้อย่างไร ก็ต้องฟังต้องศึกษาต่อไปเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อประโยชน์ของผู้ฟัง

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๐

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 13 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 13 ก.ค. 2557

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณและซาบซึ้งในความเมตตาของ

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัยและคณะวิทยากร

พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 13 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย เป็นอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
h_peijen
วันที่ 13 ก.ค. 2557

..กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อาจารย์คำปั่น

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kullawat
วันที่ 13 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chamaikorn
วันที่ 13 ก.ค. 2557

สะสมความไม่รู้มานาน จึงรู้คุณค่าของการฟังพระธรรม พระธรรมที่พระสัมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อประโยชน์ของผู้ฟังจริงจริง

ขอบคุณ และขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 13 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
natural
วันที่ 14 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
j.jim
วันที่ 14 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 14 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ด้วยความเคารพ จาก ใหญ่ราชบุรี - ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ch.
วันที่ 14 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
siraya
วันที่ 15 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 15 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น เป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jaturong
วันที่ 15 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
orawan.c
วันที่ 16 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
บรรพต
วันที่ 18 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
สิริพรรณ
วันที่ 19 ก.ค. 2557

กราบแทบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อาจารย์คำปั่นศึกษาพระธรรมประเสรืฐกว่าสื่งใดในชีวิต กำจัดความหลงได้จริงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
ประภาษ
วันที่ 24 ธ.ค. 2558

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
มังกรทอง
วันที่ 23 ต.ค. 2564

เรื่องของปัญญาที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นเรื่องที่จะต้องค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ อบรมขึ้น ค่อยๆ ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏขึ้น ไม่ใช่เป็นเรื่องทำ ไม่ใช่เป็นเรื่องเพ่ง แล้วก็ไม่ใช่เป็นเรื่องจ้อง แต่เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติในขณะนี้นั่นเอง

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ