การรับรู้ภายใต้สภาวะที่จิตนิ่ง เป็นการปรุงแต่งของจิตได้หรือไม่
ภายใต้สภาวะที่จิตนิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในอริยาบถใดก็ตาม การรับรู้ที่ผ่านเข้ามาในจิตขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ใบหน้าของพระสงฆ์ทั้งๆ ที่ไม่เคยพบมาก่อน รวมถึงเส้นแสงหรือดวงกลมๆ สว่างๆ ทั้งเล็กใหญ่ ทั้งที่มีสีสันต่างๆ ผ่านเข้ามาให้เห็น ภาพสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดจากการปรุงแต่งของจิตที่ได้เคยมีการรับรู้มาก่อนหรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การเห็นหรือรับรู้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้น เป็นการตรึกนึกคิดที่เป็น จิตที่คิดนึก กับ วิตกที่ทำหน้าที่ตรึก ปรุงแต่งไปในเรื่องต่างๆ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของ จิต และ เจตสิกที่ปรุงแต่งทำให้เห็น เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ คิดนึกไป แต่ เพราะ อาศัย สัญญาเจตสิก จำ ในสิ่งที่เคย เห็น ไ้ดยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส จึงทำให้มีการคิดนึก ตรึกไปในเรื่องต่างๆ ตามที่เคยจำมาในอดีตได้ ครับ เพราะฉะนั้น ก็ไม่พ้นจากความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่เราที่คิดนึก ไม่ใช่เราที่ปรุงแต่ง แต่มีเหตุปัจจัย ที่ปรุงแต่ง เป็นไป ตามการสะสมมาของจิต ซึ่งหนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้อง คือ เข้าใจถูกว่า เป็นแต่เพียงธรรมไม่ใชเ่รา แม้แต่ การปรุงแต่ง ก็เป็นหน้าที่ของเจตสิกที่เป็นไป ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความคิดนึกเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมได้แก่จิต และเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย ที่เป็นไปทางใจ เพราะตามปกติแล้ว จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทาง ๕ ทวาร ทวารหนึ่งทวารใด แล้วต่อด้วยวิถีจิตทางใจ โดยมีภวังคจิตคั่น นี้คือความเป็นจริงของธรรม หรือ แม้ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้ลิ้มรส ไม่ได้ถูกต้องกระทบสัมผัส ก็คิดนึกได้ คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเห็นเคยได้ยิน เป็นต้น สภาพธรรมที่คิด มีจริง เรื่องที่คิดไม่มีจริง ไม่มีใครที่จะไปบังคับบัญชา ไม่ให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้นเป็นไปได้เลย เพราะธรรมเกิดเพราะเหตุปัจจัย ประโยชน์ที่ควรพิจารณา คือ เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ก็ตาม ที่สำคัญต้องมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปเรื่อยๆ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...