การเชิญดวงวิญญาณของน้องแก้มในตู้โบกี้ขบวนรถไฟ
เมื่อเช้าไปเดินออกกำลังกายในสวนสราญรมย์ กรุงเทพ มีท่านที่ไปวิ่งออกกำลังสนทนากันในเรื่องการเชิญดวงวิญญาณของน้องแก้มในขบวนรถไฟให้ไปเกิด
อยากเรียนขอความกระจ่างจากท่านวิทยากรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักพระธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิญญาณ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นนามธรรม แปลตามศัพท์ได้ว่า เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้ง (ซึ่งอารมณ์) เป็นสภาพธรรม ที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์
วิญญาณ กับ จิต เป็นสภาพธรรมอย่างเดียวกัน มีพยัญชนะหลายประการ ที่หมายถึงจิต เช่น มนะ หทยะ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ วิญญาณธาตุ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ที่ศึกษาได้เข้าใจถึงลักษณะของจิต ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่แต่ละบุคคลมีด้วยกันทั้งนั้น (ในชีวิต ไม่ปราศจากจิตเลยแม้แต่ขณะเดียว) หนึ่งในนั้น คือ วิญญาณ ดังนั้นจิต กับ วิญญาณ จึงเป็นธรรมอย่างเดียวกัน ต่างกันเพียงพยัญชนะเท่านั้น วิญญาณไม่มีการล่องลอย ไม่มีรูปร่าง วิญญาณเป็นธรรมประเภทหนึ่ง เมื่อเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย จิตขณะหนึ่งดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที เป็นอย่างนี้อย่างไม่ขาดสายจนกว่าจะสิ้นสุดสังสารวัฏฏ์
วิญญาณ ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หมายถึง วิญญาณล่องลอย ที่เป็น ผี ตามที่เข้าใจกันแต่หมายถึงสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ คือ เป็นสภาพรู้ เป็นใหญ่ในการรู้ เรียกว่า วิญญาณ คือ จิตนั่นเอง ครับ ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงวิญญาณ ก็คือสภาพธรรมที่เป็น จิต ซึ่งมีหลายประเภท เช่น จักขุวิญญาณ หรือ จิตเห็น โสตวิญญาณ หรือ จิตได้ยิน เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อวิญญาณ หรือ จิต เกิดขึ้น เป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เช่น จิตเห็น (จักขุวิญญาณ) เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นคือ สี ที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตา เป็นต้น
วิญญาณจึงไม่ได้หมายถึง ผี ตามที่เข้าใจกันครับ แต่ วิญญาณหมายถึง สภาพธรรมที่เป็นจิต มีลักษณะเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ ครับ
ส่วนชีวิตหลังความตายนั้น โดยมากเข้าใจว่า ตายแล้วเป็นผี แต่ความจริงนั้น ทันทีที่จุติ คือ จิตขณะสุดท้ายซึ่งทำกิจเคลื่อนพ้นสภาพความเป็นบุคคลนั้นดับไป ปฏิสนธิจิต คือ จิตขณะแรกของชาติต่อไปก็เกิดสืบต่อทันที ไม่มีระหว่างคั่น แล้วแต่ว่าปฏิสนธินั้นเป็นผลของกรรมใดที่ทำให้เกิดในภพภูมิใด ถ้าเกิดในนรกก็ไม่มีใครมองเห็น เมื่อไม่เห็นสัตว์นรกก็กล่าวว่าไม่เห็นผี แต่ถ้าเกิดในภูมิที่สามารถจะปรากฏกายให้เห็นได้ คือ ขณะที่เป็นบุคคลที่ตายไปแล้วปรากฏร่างเหมือน ที่เคยมีชีวิตอยู่ ก็เข้าใจว่าเห็นผี ความจริงเทวดาก็ปรากฏให้เห็นได้เหมือนกัน แต่ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าผีหรือเปล่า หรือ จะเรียกว่า ผีเฉพาะผู้ที่ตายแล้วเกิดเป็นเปรตและอสุรกายเท่านั้น ดังนั้น ตายแล้วเกิดทันที และยังเห็นบุคคลที่ตายอยู่ ไม่ใช่วิญญาณเร่ร่อน แต่เกิดในภพภูมิที่เป็นเปรต หรือ อสุรกาย ก็ได้ ครับ
เมื่อมีผู้สิ้นชีวิต ละจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือ เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็ต้องเป็นไปตามกรรมของตนๆ เมื่อกรรมดีให้ผลก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ เมื่ออกุศลกรรมให้ผล ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ และสิ่งที่จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็คือ การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ไม่ใช่การทำอย่างอื่น เช่น นิมนต์พระสงฆ์มาสวดส่งวิญญาณ ซึ่ง เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จากความเป็นจริง ไม่ได้เป็นไปตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะสัตว์ที่ตายแล้ว ก็ต้องเกิดทันที เป็นไปตามกรรมของตน ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับว่ามีผู้มาสวดส่ง ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจในเหตุในผลจริงๆ เมื่อได้เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว การกระทำในสิ่งผิดๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น ครับ
เพราะฉะนั้น ตายแล้วเกิดทันที แทนที่จะสวดอันเชิญวิญญาณให้ไปเกิด ที่เป็นความเชื่อที่หลงงมงาย เข้าใจผิด เพราะแท้ที่จริงเกิดแล้ว ก็ควรที่จะทำบุญ อุทิศส่วนกุศลไปให้กับผู้ที่ตายจากไป มีการใส่บาตร และ การทำกุศลประการต่างๆ โดยทำได้ทุกที่ ไม่ต้องไปที่ขบวนรถไฟนั้นเลย และผู้ที่ยังอยู่ ก็ควรเป็นเครื่องเตือน ที่จะไม่ประมาทกับความตายที่เกิดได้เสมอ และเห็นคุณค่าของเวลาที่เหลืออยู่ ที่จะทำดีและ ศึกษาพระธรรม ครับ
...ขออนุโมทนา ครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การตายของสัตว์โลก คือ จุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ในภพนี้ชาตินี้, เมื่อจุติจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ทำกิจสืบต่อความเป็นบุคคลใหม่สืบต่อทันที (สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส) เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่ได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้ทั้งหมด เมื่อตายไป (จิตขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ เกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้) ย่อมเกิดทันที แต่จะไปเกิดเป็นอะไร และ ที่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำแล้ว กล่าวคือ ผู้ทำกรรมดี เมื่อตายไป กรรมดีให้ผลย่อมเกิดในสุคติภูมิ ได้แก่ ภูมิมนุษย์ ภูมิสวรรค์ ตามควรแก่เหตุ (คือ กรรม) ในทางตรงกันข้ามผู้ทำกรรมชั่วไว้ (ถ้ายังไม่บรรลุเป็นพระอริยบุคคล) เมื่อกรรมชั่วให้ผลย่อมเกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และ สัตว์เดรัจฉาน
สรุปแล้ว คือ เกิดแน่นอน สังสารวัฏฏ์ก็ยังดำเนินต่อไป มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป เกิดขึ้นเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย แต่จะเกิดเป็นอะไร ขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นสำคัญ
ส่วนผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว (ตาย) ย่อมไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง
วิญญาณ ก็คือ จิตนั่นเอง เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ทุกขณะของชีวิตไม่เคยขาดจิต ไม่มีใครเชิญจิตของใครให้ไปไหนได้ จิตเกิดเพราะเหตุปัจจัย แม้ปฏิสนธิจิต ที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครบังคับบัญชาได้
การตายเป็นธรรมดาของสัตว์ คนอื่นๆ ก็ตายกันไปในแต่ละวันก็เยอะมาก วันนี้คนอื่นตาย แต่วันหน้าต้องเป็นเราตายอย่างแน่นอน ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อใดนั้น ก็ควรที่จะได้สะสมคุณความดีเป็นที่พึ่งให้กับตนเองต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
อนุโมทนาสาธุค่ะ ที่ให้ความกระจ่างแก่ผู้ที่ยังหลงทางและงมงาย
ขอเชิญคลิกฟังเพิ่มเติมได้ค่ะ
...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ...