ขอสนทนาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระทู้นี้ครับ

 
papon
วันที่  17 ก.ค. 2557
หมายเลข  25121
อ่าน  971

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

ถาม:ความเจ็บปวดทางกายเป็นวิบากแต่การฉีดยาชาแก้ปวดเป็นการตัดรับรู้ของจิตทางกายในวิถีจิตหรือเปล่าครับ ขอความอนุเคราะห์อาจารย์กรุณาให้ปัญญาด้วยครับ

ขออนุโมทนาครับ

อ.ประเชิญตอบ:

ก่อนอื่น ควรแยกประเด็นระหว่าง ปรมัตถ กับ เรื่องราวบัญญัติ ดังนี้

โดยปรมัตถ ทุกอย่างเป็นธรรมะ เป็นปรัมตถธรรม ไม่มีคนสัตว์สิ่งของ ไม่มีเรา ไม่มีหมอ ไม่มียาชา ไม่มีการฉีดยา ปรมัตถ์ทั้งหมด เกิดเพราะปัจจัย ไม่มีใครสร้าง ไม่มีควรตัด ปรมัตถธรรมเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย เมื่อปัจจัยพร้อม ปรมัตถธรรมประเภทนั้นๆ ก็เกิดขึ้น วิบากก็เช่นเดียวกัน แต่เมื่อว่าโดยเรื่องราว บัญญัติ มีเรา มีหมอ มีเราเจ็บ มียาชา มีการฉีดยาชา มีเราทำสิ่งต่างๆ ได้ มีคนอื่นทำสิ่งต่างๆ ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้โดยปรมัตถไม่มี เป็นเพียงปรมัตถธรรมที่เป็นไปเพราะปัจจัยทั้งสิ้น ดังนั้นในชีวิตประจำวันดูเหมือนว่ามีเรา มีเขาไปห้าม ไปตัด ไปกั้น บางอย่าง ไม่ให้เกิดขึ้น แต่ความจริงคือเพราะมีธรรมะเกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น

(ปรมัตถธรรมประเภทนั้นๆ ก็เกิดขึ้น) ประโยคในวงเล็บ กระผมพยายามไตร่ตรองดู แต่ก็คิดไม่ออกว่าปรมัตถธรรมนั้นคืออะไรครับ ขอความอนุเคราะห์ด้วยครับ ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 17 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ซึ่งไม่พ้นไปจาก จิต เจตสิก รูป และนิพพาน แต่ถ้ากล่าวถึงปรมัตถธรรมที่เกิดดับ ก็ต้องเฉพาะจิต เจตสิก รูป เท่านั้น อย่างในคำตอบ ที่กล่าวถึงปรมัตถธรรม ตัวอย่างเช่น ขณะเจ็บ เจ็บมีจริงๆ เป็นปรมัตถธรรม คือ ทุกขเวทนาทางกาย ขณะนั้น จิตก็มีจริง เป็นปรมัตถธรรม เวทนาที่เกิดร่วมด้วยก็มีจริง เป็นปรมัตถธรรม เจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วยก็มีจริง เป็นปรมัตถธรรม สภาพธรรมที่กระทบกาย ก็มีจริง เป็นปรมัตถธรรม กาย ก็มีจริงเป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่

ปรมัตถธรรม อธิบายโดยละเอียดอย่างไร

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 17 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
papon
วันที่ 17 ก.ค. 2557

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

แล้วในขณะที่เกิดการชาขึ้น ขณะนั้นเหตุปัจจัยดับไปหรือครับ เวทนาทางกายจึงหายไปหรือว่าความรู้สึกชาเป็นเวทนาหนึ่งที่กายวิญญาณรับรู้ในขณะนั้นครับ?

ขอความอนุเคราะห์ด้วยครับ ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 19 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วิริยะ
วันที่ 21 ก.ค. 2557

เรียนถามท่านผู้รู้

หัวข้อที่คุณ Papon ถาม ทำให้ดิฉันนำมาพิจารณาอยู่หลายรอบ อยากทราบว่า การที่ได้รับการฉีดยาชา ทำให้ร่างกายส่วนที่ได้รับยาชา ไม่มีความรู้สึกนั้น เวทนาทางกาย ยังคงมีอยู่คือ เป็นทุกขเวทนา เป็นเช่นนั้นหรือไม่คะ เพระว่าดิฉันคิดว่า ร่างกายคนเราถ้าเป็นปกติก็ต้องรู้สึก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เมื่อได้รับการกระทบสัมผัส ถ้าไม่รู้เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว นั่นเป็นเพราะไม่มีเหตุปัจจัยที่จะมีสภาพธรรมนั้นๆ เกิดขึ้น ดิฉันนึกเปรียบเทียบว่า สมมติว่า มีแมลงบินเข้าตา หรือมีฝุ่นเข้าตา ขณะนั้นก็จะไม่มีการเห็นในชั่วขณะหนึ่ง หรืออาจจะนานกว่านั้น และการที่แมลงบินเข้าตา หรือมีฝุ่นเข้าตา ก็น่าจะเป็นอกุศลวิบาก ทำให้เกิดทุกขเวทนาทางกาย ในขณะนั้น จักขุปสาท ก็ยังมี ตาไม่ได้บอด ในกรณีที่ได้รับการฉีดยาชาก็เช่นเดียวกัน กายปสาทก็ยังมี แต่ไม่ได้รู้สึก

ขอบพระคุณอย่างสูง

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
mild
วันที่ 22 ก.ค. 2557

เจ็บเป็นธรรมดาเมื่อเจ็บ คันเป็นธรรมดาเมื่อรู้สึกคัน หายเจ็บไม่เจ็บ หายคันไม่คัน ก็เป็นธรรมดา คือความเป็นไปของธรรมะ เป็นวิบากที่ต้องได้รับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เหตุเพราะมีจิตจึงมีเวทนาทั้งสุขเวทนา และทุกขเวทนา และเป็นไปตามกรรม ไม่มีอะไรไปตัดการรับรู้ของจิต จิตเกิดดับเป็นไปเป็นธาตุตามที่เป็นไปของกรรม ไม่มีใครทำให้ใครตายได้ฉันใด ก็ไม่มีใครทำให้ใครเจ็บหรือหายเจ็บได้ฉันนั้น มีแต่กรรม และผลของกรรมตามธรรมดา ตามความเป็นไปของธรรมะ ถ้ามองให้ไกล้เข้ามาอีกจะเห็นว่านอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 23 ก.ค. 2557

ปรมัตถธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เป็นอนิจจัง เช่น เห็นก็ไม่เที่ยง ได้ยินก็ไม่เที่ยง เป็นทุกขัง เพราะเกิดดับเปลี่ยนแปลงทนอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตา เพราะไม่ใช่ตัวตน ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ