ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านเรือนไทยสินสมุทร ราชบุรี ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฏาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
และ คณะวิทยากรของมูลนิธิฯ อาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ อาจารย์ธีรพันธ์ ครองยุทธ
และ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย
ได้รับเชิญจาก สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ราชบุรี (ชาวกุรุน้อย ราชบุรี)
โดย อาจารย์ธนิต ชื่นสกุล และ คณะของพลตรีหญิง นันทา เกษหอม
คุณลักษณา แดงด้อมยุทธ์ ,คุณปุณิกา แสงสว่าง,คุณสุรินทร์ รสหวาน,
ทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์
และ คุณวรินนภัส คุณฐิติพรชัย สินสมุทรธาวิน เจ้าของบ้านเรือนไทยสินสมุทร
เพื่อไปสนทนาธรรม ณ บ้านเรือนไทยสินสมุทร ริมแม่น้ำแม่กลอง อำเภอเมือง ราชบุรี
ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๓๐ น.
เป็นการสนทนาธรรมครั้งที่สอง ณ บ้านเรือนไทยแห่งนี้ ที่ข้าพเจ้ามีโอกาสเข้าร่วมฟัง
การสนทนาธรรมครั้งที่แล้ว จัดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา
ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมได้ที่นี่ ครับ....
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เรือนไทยสินสมุทร ราชบุรี ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๖
การสนทนาธรรมครั้งนี้ มีสมาชิกชมรมบ้านธัมมะฯ จากกรุงเทพมหานคร
เดินทางไปร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก เท่าที่เห็น มีรถตู้จากบริษัท มนตรีทรานส์ปอร์ต
นับสิบคัน ไม่รวมท่านที่ขับรถส่วนตัวไปเอง และ ชาวจังหวัดราชบุรี อีกจำนวนมาก
ท่านเจ้าของบ้าน ได้เปลี่ยนสถานที่สนทนาธรรมจากเดิมเมื่อครั้งที่แล้ว
ไปที่เต้นท์ริมแม่น้ำแม่กลอง ทำให้เห็นบรรยากาศของแม่น้ำแม่กลอง สวยงามชัดเจน
ที่ขาดไม่ได้สำหรับการสนทนาธรรมทุกครั้ง ในที่ต่างๆ คือ เรื่องอาหาร
หลายท่านอาจสงสัยว่าข้าพเจ้ากลายเป็นนักชวนชิมอาหารไปเสียแล้ว เพราะเหตุว่า
เมื่อเจอข้าพเจ้าครั้งใด ก็มีแต่ภาพของอาหารมายั่ว ให้เกิดความอยาก ความติดข้อง
ความจริง ก็เป็นสองเหตุผล กล่าวคือ ทุกท่านคงสังเกตุได้ว่า ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนๆ
นอกจากจะต้องการที่จะได้เห็นวิวทิวทัศน์ และ สถานที่ที่สวยงามชอบใจ แล้ว
ประการสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่พ้นเรื่องของอาหาร
และ เหตุผลประการสำคัญที่สุด คือ กุศลเจตนาของท่านเจ้าภาพ
ที่จัดเตรียมอาหารประณีต รสเลิศ นานาชนิด ไว้ให้ทุกท่านที่เดินทางมาร่วมฟังธรรม
ได้รับประทาน ข้าพเจ้าได้เห็นถึงความประณีต บรรจง คัดสรร ทั้งร้านและชนิดของอาหาร
ที่นำมาให้ทุกๆ ท่านได้รับประทาน
คิดถึงคำกล่าวที่ว่า การให้ทานอันประณีต ในพระไตรปิฎก
ซึ่งนอกจากท่านเจ้าภาพ จะให้ธรรมทานอันประเสริฐที่สุด แก่บุคคลแล้ว
ยังให้อาหารอันเลิศ เป็นทานอีกด้วย
นี้เป็นประการสำคัญที่สุด ที่ทำให้เห็น ให้เข้าใจ ให้มั่นคงขึ้น ในกรรมและผลของกรรม
ในทานและผลของทาน การให้ อันบุคคลสะสมมา
ซึ่งแสดงผลให้เห็นอยู่ ในคำที่ว่า ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้รับผลอันเลิศ
และแน่นอนว่า ผลอันเลิศที่สุด ย่อมมาจากการให้ ของผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรม
กราบอนุโมทนาในกุศลศรัทธาอันยิ่งของท่านเจ้าภาพ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 130
เมื่อบุคคลเลื่อมใสโดยความเป็นวัตถุเลิศ
รู้ซึ่งธรรมอันเลิศ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ
ผู้เป็นทักษิไณย ไม่มีใครยิ่งกว่า
เลื่อมใสในพระธรรมอันเลิศ
อันเป็นที่สิ้นราคะ เป็นที่สงบ เป็นสุข
เลื่อมใสในพระสงฆ์ผู้เลิศ ผู้เป็นนาบุญไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
ให้ทานในท่านผู้เลิศ บุญอันเลิศย่อมเจริญมาก
อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุข และ พละ อันเลิศก็ย่อมเจริญมาก
ผู้มีปัญญาเป็นผู้ให้ของที่เลิศ มั่นคงอยู่ในธรรมอันเลิศแล้ว
ผู้นั้นจะเป็นเทวดาหรือเป็นมนุษย์ ก็ย่อมได้รับฐานะอันเลิศบันเทิงใจ.
จบปสาทสูตรที่ ๔
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาธรรมบางตอนในช่วงเช้าของวันนั้น
ซึ่งเป็นตอนที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง การศึกษา "เรื่องราว" ของธรรมะ
และ "การรู้ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรม" ในขณะนี้ ว่ามีความละเอียดลึกซึ้งอย่างไร
เพื่อเป็นการอนุเคราะห์แก่ผู้ที่สนใจในการศึกษาพระธรรม ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
ซึ่งก็รวมความไปถึง ความหมายที่ถูกต้องจริงๆ ของคำว่า "ปฏิบัติธรรม"
ที่ผู้คนในสมัยปัจจุบัน ให้ความสนใจกันมาก แต่ไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจ อย่างถูกต้อง
อันเป็นสาเหตุของการที่พระศาสนา คือ คำสอน จะอันตรธานไป
เพราะความเข้าใจผิด และ ความเห็นผิด นั่นเอง ว่ามีตัวตนที่จะไปปฏิบัติ ไปทำ
ทั้งเห็นว่าพระธรรม ง่าย ซึ่งความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
เมื่อเริ่มเข้าใจพระธรรม ย่อมเริ่มที่จะรู้ ถึงความละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ของพระธรรม
ตามกำลังของปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ที่บุคคลสะสมไว้
ด้วยความเข้าใจขึ้นในสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ว่าเป็นแต่ธรรมที่เกิดขึ้น เป็นไป
หาใช่สัตว์ ใช่บุคคล ใช่ตัวตนใครไม่
และ ผู้ที่มีจะความเข้าใจพระธรรม ย่อมเป็นผู้ที่ศึกษาด้วยความเคารพ อ่อนน้อม
ทั้งยังเป็นผู้ตรง ต่อสภาพธรรม ธรรมเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น
กุศล เป็น กุศล อกุศล เป็นอกุศล
ไม่ใช่ว่า อกุศลที่เกิดขึ้นกับคนอื่น เป็นอกุศล แต่ถ้าเกิดกับเราแล้ว เป็นกุศล
นั่นคือ ไม่ตรง
ทั้ง ไม่คิดเอาเอง ว่าเป็นผู้ที่รู้แล้ว ด้วยมานะ ความสำคัญตน
จึงจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ จากพระธรรม ที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้
สำหรับข้าพเจ้าเอง หลังจากที่ถอดข้อความการสนทนาและลงกระทู้จนเสร็จแล้ว
ข้าพเจ้าชอบที่จะอ่านข้อความ ที่ลงในทุกๆ กระทู้ ที่ได้ทำ อย่างช้าๆ ซ้ำไปซ้ำมา
ทีละคำ ทีละประโยค หลายรอบมาก ซึ่งก็เป็นประโยชน์ทั้งการได้ตรวจทานคำผิด
และ ประการสำคัญที่สุด คือ การได้ฝังข้อความ ที่ได้อ่านแล้วๆ เล่าๆ นั้น ไว้ในหทัย
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของทุกๆ ท่าน หวังว่าท่านจะได้รับประโยชน์จากพระธรรม
อันเป็นสาระ เป็นประโยชน์ ที่มีค่า ยิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ ในชาตินี้ ทั่วกัน
อ.คำปั่น มีประเด็นต่อเนื่องจากที่ได้สนทนาเมื่อสักครู่
ก็เป็นข้อคิด ที่น่าพิจารณา สำหรับเรื่องของความเห็นผิด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
แพร่หลาย ระบาดไป เร็วมาก
ก็จะกราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล ครับท่านอาจารย์ครับ
เพราะว่า ถ้าพูดถึงความเป็นจริงของธรรมะแล้ว ก็แสดงถึงเหตุ แสดงถึงผล
แสดงถึงความเป็นจริง
แต่ว่า สำหรับผู้ที่ไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม คิดว่า ธรรมะง่าย
หรือว่า มี "วิธีอื่น" ที่จะทำให้เข้าใจความจริง
ก็เป็นผู้ที่มีการประพฤติ ปฏิบัติผิด
แล้วก็ชักนำคน ให้ไปในทางที่ผิด ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
เพราะว่า สำหรับคนที่มีความเห็นผิด แม้จะมีเพียงคนเดียว
ก็เป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ แก่ชนหมู่มากเลย
ก็จะกราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์ ว่า เหตุที่ทำให้ความเห็นผิด เกิดขึ้น เป็นไป
แล้วก็ เครื่องป้องกันความเห็นผิด จะเป็นอย่างไรครับ?
ท่านอาจารย์ ปัญหาของท่านผู้ถามเมื่อครู่นี้ ไม่ทราบว่าท่านผู้ถาม แจ่มแจ้งหรือยัง?
แต่ก็ได้พูดความจริง คือ พูดว่า " ฟังธรรมะแล้ว รู้แต่เพียงเรื่องของธรรมะ "
นี้เป็นสิ่งที่สำคัญ นะคะ
เพราะเหตุว่า " ตัวธรรมะ" จริงๆ " รู้ยาก "
แม้เดี๋ยวนี้!!! เป็นธรรมะ ก็ไม่รู้ ว่าเป็นธรรมะ !!!
แต่ว่า
กำลังฟัง " เรื่องของธรรมะ " ก่อน
ด้วยเหตุนี้ พระธรรมที่ทรงแสดง ก็มีหลายระดับ
เริ่มตั้งแต่ ปริยัติ หมายความถึง การฟังเรื่องของธรรมะ
เพราะว่า ไม่รู้นี่คะ ว่า " ธรรมะ คือ อะไร? "
แล้วก็ " อยู่ที่ไหน? "
ทั้งๆ ที่ เวลานี้ ก็มีธรรมะ แต่ก็ไม่รู้ ว่าเป็นธรรมะ !!!
จึงไม่รู้ว่า ธรรมะ คือ อะไร?
และ ไม่รู้ว่า ธรรมะ อยู่ที่ไหน?
แต่ พอฟัง ก็ได้ฟัง " เรื่องของธรรมะ "
แต่ ตัวธรรมะจริงๆ ทุกขณะ เกิดดับ เร็ว สุดที่จะประมาณได้
เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้จัก "ตัวธรรมะ" ตรงตามที่ได้ฟัง
ก็ต้อง "ฟัง" จนกระทั่ง มีความเข้าใจที่มั่นคง
ว่า ขณะนี้ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่เว้นเลย เป็นธรรมะ
นี่เริ่มที่จะ "ไตร่ตรอง" คือ "คิด...เข้าใจ.."
ว่าอะไรเป็นธรรมะ และ ธรรมะ อยู่ที่ไหน?
ไม่ต้องไปหาเลย ไม่ต้องไปหาเลย
แต่ก่อนนี้ ไม่เคยได้ยินคำว่า ธรรมะ
ลืมตา ก็ไม่รู้ ไปหาธรรมะ
บางคนก็เดินทางไปเหนือจรดใต้ ไปหาธรรมะ
แต่ถ้าเข้าใจแล้ว
ขณะไหนบ้าง? ที่ไม่ใช่ธรรมะ?
นี่คือ ความเข้าใจ ที่ต่างกัน ในเรื่องของ "เรื่องราว" ก่อน
เพราะเหตุว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่าง แม้ขณะนี้เอง!!!
ก็เป็นธรรมะ!!!
เรื่องราว ของธรรมะ แต่ละหนึ่ง เช่น ขณะนี้ มี "เห็น" เห็น มีจริงๆ
นี่เริ่มแล้ว สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรมะ
แต่ก็ยัง ไม่รู้จัก "เห็น"
ถูกต้องไหม?
เพียงแต่ฟัง ว่า "เห็น" มีจริงๆ
แล้วยังไงล่ะ? แล้วต่อไป อะไรล่ะ? มักจะคิดกันอย่างนี้
ว่า แล้วมีประโยชน์อะไร?
ที่จะฟังเรื่อง "เห็น"?
เพราะเหตุว่า ไม่รู้ว่า "เห็น" เป็นสภาพที่ต่างกับ "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น"
"เห็น" เป็น "สภาพที่รู้"
แต่ "สิ่งที่ปรากฏ" ไม่รู้อะไรเลย
อย่าง เห็นดอกไม้ ดอกไม้ไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่ามีใครกำลังเห็น
แต่ว่า "ธาตุ" ที่เกิดขึ้น แล้ว "เห็นสิ่งที่ปรากฏ" แล้ว "จำ" และ "คิด"
แม้ว่าจะไม่เป็นคำพูด แต่จำได้เลย ว่านี่เป็นอะไร
เพราะฉะนั้น สภาพที่จำ ก็เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้น
ถ้าเห็นสิ่งใด ก็ "จำ" ในสิ่งที่เห็นนั้นแหละ
"ได้ยินเสียง" ไม่ใช่ไปจำเห็น หรือ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น
ได้ยินเสียง "เสียง" เกิด ปรากฏ เมื่อไหร่ "สภาพจำเสียง" มี
ถ้าไม่จำเสียง ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น แต่ละขณะ เป็นความละเอียดอย่างยิ่ง
เป็นเรื่องของธรรมะ
ซึ่งธรรมะนั้น ยังไม่ได้ปรากฏว่าเป็นธรรมะ แม้ว่ามีอยู่
แต่การที่จะรู้จักสภาพของสิ่งที่มี ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง แล้วจะรู้จักได้ ทันที
แต่รู้ว่า แม้ว่ามี กำลังเผชิญหน้า
แต่ไม่รู้
เพราะมีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏได้เลย
พระผู้มีพระภาคฯ ตรัสเรียกคำนี้ว่า "อวิชชา" หรือ "โมหะ"
คือ "ความไม่รู้"
มีจริงๆ
ในเมื่อทุกอย่าง ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละลักษณะ
"ความไม่เข้าใจ" ก็มี "ความไม่รู้" ก็มี "ความเห็นผิด" ก็มี
ทุกอย่าง มี
แต่เป็นธรรมะฝ่ายที่ ไม่เป็นประโยชน์
ไม่ทำให้สามารถที่จะได้รับประโยชน์อะไรเลย จาก "ความไม่รู้"
นอกจาก เพิ่มความไม่รู้ขึ้น เพิ่มความติดข้องขึ้น
เพราะฉะนั้น เป็นความถูกต้อง ที่กล่าวว่า
ขณะนี้ ได้ฟังธรรมะ เพียงรู้เรื่องราวของธรรมะ นี่ถูก
แสดงให้เห็นว่า มีความเข้าใจ ระดับของปัญญาที่ต่างขั้น
คือ ขั้นฟัง ยังไม่เข้าใจเลยว่า "เห็นขณะนี้" เกิดดับ
เกิดจริงๆ ดับจริงๆ
แต่รู้ ว่า "เห็น" มี
และ "เห็น" เกิด เพราะเหตุปัจจัย
และ "เห็น" ดับ ด้วย
นี่คือ "ฟัง" จนกระทั่ง "มีความเข้าใจ ที่มั่นคง"
ส่วนการที่ใคร สามารถจะรู้ "เห็น" เดี๋ยวนี้
เฉพาะ "เห็น" จริงๆ
จึงสามารถจะรู้ว่า "เห็น" นี่แหละ "เกิด" และ "เห็น" นี้ "ดับ"
เป็นการสะสมของปัญญา อีกระดับหนึ่ง ซึ่งใช้คำว่า "ปฏิปัตติ"
และ คนไทยก็ใช้คำว่า "ปฏิบัติ"
แต่ ไม่เข้าใจเลย
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า
"การฟัง"
ก็มีการฟัง ทั้งสิ่งที่ถูก และ ฟังสิ่งที่ผิด
ถ้าสะสมความเข้าใจใน เหตุและผล มา ย่อมรู้ว่า สิ่งที่ได้ฟังนี้ ถูก หรือ ผิด
แต่ถ้าไม่ได้สะสมมา อะไรๆ ก็ถูกหมด
พูดได้อย่างไร? อะไรๆ ก็ถูกหมด
เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ถ้าบอกว่า "เราเห็น เป็นเรา ไม่ดับเลย"
ถูกไหม?
ถ้ามีความเข้าใจ เริ่มรู้ว่า เป็นไปได้อย่างไร ก็ "เห็น" ไม่ใช่"ได้ยิน"
แล้วก็ "เห็น" จะมีอยู่ตลอดเวลา ไม่ดับไป ได้อย่างไร?
เพราะเหตุว่า "เห็น" ต้องอาศัย "ตา"
อาศัย "จักขุปสาท" รูป ที่สามารถกระทบกับ "สิ่งที่ปรากฏ"
ส่วน "ได้ยิน" ไม่ได้อาศัย "ตา" เลย
แต่มี รูปพิเศษ" ซึ่งสามารถกระทบเฉพาะ "เสียง"
กระทบ "กลิ่น" กระทบอะไร ก็ไม่ได้เลย
ต่อเมื่อไหร่ "เสียง" กระทบกับ "รูป" นั้น เป็นปัจจัยให้ "ธาตุ" อีกชนิดหนึ่ง เกิดได้
และ เกิดขึ้น "ได้ยินเสียง"
"เสียง" จึงปรากฏ
นี่คือ "ฟังเรื่องราว" ของสิ่งที่มีจริงๆ
จนกระทั่งมีความเข้าใจ ในความ "ไม่ใช่เรา"
แต่เป็น "สิ่งที่มีจริง" ซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่ละหนึ่ง "อย่างมั่นคง"
ไม่หันไป ในการที่จะคิดว่า "เราจะทำ" ให้เกิดความเข้าใจ
เพราะเหตุว่า ไม่มีใครทำให้ความเข้าใจ เกิด ได้เลย
เพราะความคิดว่า "เรา" เป็นความคิดที่ "ผิด"
"เห็น" เป็น "เรา" หรือเปล่า?
"เห็น" เป็น "เห็น"
"ได้ยิน" เป็น "เรา" หรือเปล่า?
"ได้ยิน" เป็น "ได้ยิน"
"เห็น" เกิดขึ้น แล้วดับ
"เรา" ดับไปแล้วหรือ?
ไม่มีเหลือเลย หรืออย่างไร?
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้เข้าใจ "ตรง" ตามความเป็นจริง
จึงต้องอาศัย ความเป็น "ผู้ตรง" ต่อความจริง
เมื่อฟังแล้ว ก็สามารถที่จะ ไต่สวน พิจารณา ไตร่ตรอง
ว่า ความจริง เป็นอย่างที่ได้ยิน ได้ฟัง หรือเปล่า?
หรือว่า ความจริง ไม่ใช่อย่างที่ ได้ยิน ได้ฟัง
แม้แต่ ความเห็น ก็มี ความเห็นถูก และ ความเห็นผิด
เพราะฉะนั้น พอฟังความเห็น
ไม่ว่าจะความเห็น ใดๆ
สามารถที่จะ "เข้าใจ" ได้ว่า สิ่งนั้น "ถูก" หรือ "ผิด"
นั่นหมายความว่า เป็นผู้ที่ "ฟัง" ด้วยการพิจารณา ไตร่ตรอง
ซึ่งต้องอาศัย "บุญ ที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน"
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้
บางคน ไม่ว่าในครั้งที่พระผู้มีพระภาคฯ ยังไม่ปรินิพพาน หรือ แม้สมัยนี้
คนที่ได้ฟังแล้ว ไม่เข้าใจ ก็มี
ไม่ใช่ว่า ทุกคนฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ แล้วเข้าใจหมด
แต่ คนที่ได้ฟังแล้ว ไม่เข้าใจ ก็มี
คนที่ฟังแล้ว สามารถที่จะรู้ความจริง ดับกิเลสได้
ถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็มี
ถึงการดับกิเลสหมด ไม่เหลือเลย ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็มี
เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า มาจากไหน?
แม้แต่ ความเข้าใจต่างกัน
ก็ต้อง "มีเหตุ"
ใครๆ ก็อยากรู้ อยากหมดกิเลสเร็วๆ
แต่ว่า เร็วไม่ได้
ต้องเป็นไปตามเหตุ ปัจจัย
ว่า
ฟังแล้ว เข้าใจไหม?
ถ้าฟัง แล้วเข้าใจ "เริ่มต้น" ของการที่จะ "เข้าใจขึ้น"
จนกระทั่ง สามารถที่จะ "รู้ ลักษณะ" ที่เป็นธรรมะ
ตรง ตามที่ได้ฟัง
เพราะคำว่า "ปฏิปัตติ" หรือที่คนไทย ใช้คำว่า "ปฏิบัติ"
หมายความถึง "รู้" หรือ "ถึงเฉพาะ"
ลักษณะ ของสภาพธรรมะ หนึ่ง
ไม่ใช่ "หลายๆ อย่าง" พร้อมกัน
ถ้าหลายอย่าง "ชัด" ไม่ได้เลย
แล้วก็ เป็นไปไม่ได้ด้วย
เพราะว่า "จิต" เป็น "ธาตุรู้"
เกิดขึ้น "หนึ่งขณะ" จะรู้เพียง "หนึ่ง"
ตามเจตสิก ซึ่งเป็นเอกัคคตาเจตสิก ซึ่งเกิดร่วมด้วย
ที่ทำให้ ตั้งมั่น ในอารมณ์หนึ่ง
นี่ก็เป็น สิ่งซึ่ง มีอยู่ทุกขณะ
แต่เมื่อได้ยิน ได้ฟัง คำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ประมาทไม่ได้เลย
"ทุกคำ" เป็น "คำจริง" ที่ลึกซึ้ง
ที่จะทำให้ ผู้ที่ได้ยิน ได้ฟัง มีความเห็นถูก เกิดขึ้น
ทีละเล็ก ทีละน้อย
จนกว่าจะ รู้ขึ้น รู้ขึ้น
จึงจะถึงปัญญา ขั้นต่อไป ได้
เช่น ถ้าขณะนี้ การฟัง ไม่มีพอ
ที่จะรู้ว่า
ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีเรา
ทุกอย่างเกิด เพราะเหตุปัจจัย เป็นธรรมะ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไม่เห็นผิด ที่จะไปทำ
"เป็นเรา" ที่จะให้รู้ หรือ ให้เข้าใจ
แต่ต้องอาศัย "การฟัง" นี้แหละ
จากขั้นฟังแล้ว
"ความรู้" หรือ "ปัญญา" อีกขั้นหนึ่ง ซึ่งไม่ลืมว่า ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริง
กำลังเป็นจริง อย่างที่ได้ฟัง แต่ละหนึ่ง
ขณะนั้น ก็จะเป็น "ปฏิปัตติ"
รู้จักธรรมะ โดยการที่เข้าใจ สิ่งที่กำลังเผชิญหน้า
หรือว่า กำลังมีอยู่ ในขณะนั้น ได้
เพราะฉะนั้น แม้แต่ "จะปฏิบัติ" ก็ "ผิด"
เพราะว่า "ไม่เข้าใจ" ว่า "ปฏิบัติ" คือ อะไร?
แต่เมื่อเข้าใจแล้ว ปฏิบัติไม่ได้เลย
แต่ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
จนกว่า สภาพธรรมะ จะถึงปัญญา ระดับที่ กำลังปฏิบัติกิจ
คือ เริ่มเข้าใจ "ลักษณะ" ของสภาพธรรมะ
ที่กำลังพูดถึง เดี๋ยวนี้เอง!!!
ไม่มีอะไรเป็นเครื่องกั้น เลย
เวลานี้ กำลังเพียงฟังเรื่อง
แต่เมื่อฟังเข้าใจแล้ว รู้ลักษณะนั้นเมื่อไหร่ ก็คือ ปฏิปัตติ
ตรงตามคำถามที่ว่า เพียงเข้าใจเรื่อง
เมื่อเพียง เข้าใจเรื่อง
จะให้ไปประจักษ์ หรือ จะให้ไปรู้ลักษณะ ที่ไม่ใช่เรา
ที่ เพียงเกิดขึ้น "เห็น" แล้วดับ เกิดขึ้น "เห็น" แล้วดับ (ย่อมเป็นไปไม่ได้)
นี่คือ ความจริง
เพราะฉะนั้น จะเข้าใจได้ ต่อเมื่อ ได้ฟังเรื่อง ของสภาพธรรมะ เหล่านี้
จนมีความมั่นคง
ว่า ทุกอย่าง สั้นมาก เพียงเกิดขึ้น แล้วก็ หมดไป
แต่จะรู้ได้ ต่อเมื่อมีการฟัง ด้วยความเข้าใจ
เพื่อละความไม่รู้ และ ความติดข้อง
จนกว่าจะถึงการประจักษแจ้ง ปัญญาอีกระดับหนึ่ง
เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ตรง ที่กล่าวว่า ขณะนี้ เพียงฟังเรื่องราว
ยังไม่ทั่ว ยังไม่ทั้งหมด ค่ะ
ต้องฟัง "เรื่องราวของธรรมะ" จนทั่วจริงๆ
จึงสามารถที่จะ "เริ่มรู้"
"ลักษณะ" ของสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏได้
ทีละเล็ก ทีละน้อย
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา ของ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ราชบุรี
(ชาวกุรุน้อย ราชบุรี)
โดย อาจารย์ธนิต ชื่นสกุล และ คณะของพลตรีหญิง นันทา เกษหอม
คุณลักษณา แดงด้อมยุทธ์,คุณปุณิกา แสงสว่าง,คุณสุรินทร์ รสหวาน,
ทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์
คุณวรินนภัส คุณฐิติพรชัย สินสมุทรธาวิน เจ้าของบ้านเรือนไทยสินสมุทร
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขออนุโมทนาพี่วันชัยที่ถ่ายทอดภาพและธรรมได้อย่างดียิ่งครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา ของ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ราชบุรี
(ชาวกุรุน้อย ราชบุรี)
โดย อาจารย์ธนิต ชื่นสกุล และ คณะของพลตรีหญิง นันทา เกษหอม
คุณวรินนภัส คุณฐิติพรชัย สินสมุทรธาวิน เจ้าของบ้านเรือนไทยสินสมุทร
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา ของ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ราชบุรี
โดย อาจารย์ธนิต ชื่นสกุล และ คณะของพลตรีหญิง นันทา เกษหอม
คุณวรินนภัส คุณฐิติพรชัย สินสมุทรธาวิน เจ้าของบ้านเรือนไทยสินสมุทร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
ที่ถ่ายทอดสารธรรม พร้อมด้วยภาพที่สวยงาม
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา ของ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ราชบุรี
โดย อาจารย์ธนิต ชื่นสกุล และ คณะของพลตรีหญิง นันทา เกษหอม
คุณวรินนภัส คุณฐิติพรชัย สินสมุทรธาวิน เจ้าของบ้านเรือนไทยสินสมุทร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ
ขอขอบคุณคณะเจ้าภาพทุกท่าน และคุณวันชัยที่นำภาพและบรรยากาศของการสนทนาธรรม
นอกสถานที่มาให้ทุกคนได้ชม และทีสำคัญที่สุดก็ต้องขอกราบเท้าบูชาท่านอาจารย์สุจินต์
บริหารวนเขตต์ และ คณะ ที่นำพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาพระพุทธเจ้ามาให้ทุกคนที่
สนใจได้ฟัง ขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา ของ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ราชบุรี และท่านเจ้าของบ้านเรือนไทยสินสมุทร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัยที่ถ่ายภาพสวยงามฝีมือระดับอาชีพ และที่แน่นอนที่สุดคือธรรมบรรยายที่คัดสรรมาอย่างดี เป็นประโยชน์มากๆ ครับ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยนะครับ