การทำความเพียรในพระพุทธศาสนา เพื่อการบรรลุธรรม
การทำความเพียร ที่ถูกต้องตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง คืออย่างไร ในยุคพุทธกาลทำไมจึงมีพระสาวกบางองค์ ทำความเพียรโดยการเดินจนเท้าแตกเป็นแผล หรือบางองค์ตาบอด เป็นต้น ไม่ทราบว่าเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หากเป็นเรื่องที่ผู้ถามเข้าใจคลาดเคลื่อน ขอท่านวิทยากรกรุณาช่วยชี้แจงและแก้ไขให้ถูกต้องด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำหรับ ความเพียร นั้น เป็นสภาพธรรมที่มีจริง คือ วิริยเจตสิก ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว เกิดกับจิตได้ทุกชาติเลย ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ เพียรที่เป็นกุศลก็มี เพียรที่เป็นอกุศล ก็มี
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก ความเข้าใจพระธรรม จึงต้องศึกษาด้วยความละเอียดให้สอดคล้องทั้ง 3 ปิฎก ดังนั้น เมื่อศึกษาพระอภิธรรม ก็เข้าใจครับว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา มีแต่ธรรม และเป็นอนัตตา คือ ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ทุกอย่างต้องอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จึงไม่มีเรา ไม่มีบุคคลที่จะล่วงทุกข์ ที่จะทำความเพียร แต่เป็นหน้าที่ของธรรมที่จะทำให้ละกิเลสได้
ซึ่งในความเป็นจริง ความเพียรที่เป็น วิริยเจตสิก เกิดกับจิตเกือบทุกประเภท แม้ในขณะที่อกุศลจิตเกิดก็มีความเพียรแล้ว เพียรเป็นไปในอกุศล แม้ในขณะที่กุศลจิตก็มีความเพียรแล้ว เพียรเป็นไปในอกุศล เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ โดยไม่รู้ตัวเลย มีความเพียรเกิดอยู่ ที่เป็นวิริยเจตสิก ไม่ต้องทำความเพียรก็มีความเพียรเกิดแล้ว เกิดกับจิตเกือบทุกขณะ จึงไม่มีเรา ไม่มีตัวตนที่จะทำความเพียร ให้ความเพียรเกิดขึ้นเลย ครับ
สำหรับความเพียรที่เป็นไปในการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ที่เป็นหนทางบรรลุนั้น ต้องเป็นความเพียร ที่เป็นไปกับกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา เพียรที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ และประการที่ำสำคัญ ขณะที่สติปัฏฐานเกิดขึ้น วิริยเจตสิกที่เกิดขึ้นแล้ว พร้อมด้วยโสภณธรรมอื่นๆ มีศรัทธา หิริ โอตตัปปะ รวมถึงสติ และปัญญาด้วย ในขณะนั้นก็เป็นไปเพื่อกำจัดความติดข้อง กำจัดความขุ่นเคืองใจ เป็นการเผาผลาญกิเลส เพราะขณะนั้นจิตเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา กิเลส อกุศลธรรมไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย
สำคัญที่สุด หากมีความเพียร แต่ ไม่มีปัญญา ก็เป็นความเพียรผิด ที่เพียรไปในทางอกุศลธรรมก็ได้ สำคัญ คือ จะต้องมีปัญญา ความเข้าใจถูก เพราะ อาศัยปัญญา ก็ทำให้มีความเพียรที่ถูกต้อง ที่เรียกว่า สัมมาวายามะ เพราะอาศัย สัมมาทิฏฐิ ที่เป็นความห็นถูก เป็นสำคัญ ครับ
เพราะฉะนั้นบุคคลในสมัยพุทธกาล ท่านสะสมปัญญามาด้วย มีความเพียรที่ถูกต้องพร้อมปัญญา และ ผู้นั้นสะสมอุปนิสัยที่มากไปด้วยความเพียร แต่ เข้าใจหนทางถูกแล้ว จึงปฏิบัติตามอัธยาศัยของท่าน มีการเดินจงกรม จนเท้าแตก ไม่นอนทั้งคืน เหล่านี้ล้วน เป็นเรื่องของอุปนิสัยและความเข้าใจถูก แต่ก็มีบุคคลจำนวนมากที่บรรลุธรรมโดยไม่ได้ทำการเดินจงกรม ไม่นอนทั้งคืน เช่น ท่านพระพาหิยะ นางวิสาขาและบุคคลอื่นๆ อีกมากมาย โดยท่านเหล่านั้นฟังธรรม และ ก็บรรลุธรรม ขณะนั้นก็มีความเพียรแล้ว ในขณะที่เข้าใจ ประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริง เพราะ มีวิริยเจตสิก ที่เป็นสัมมาวายามะ ที่เกิดร่วมกับปัญญา โดยไม่ต้องไปทำความเพียร แต่มีความเพียรที่เป็นธรรมไม่ใช่เรา เกิดกับปัญญา ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร ก็ไม่พ้นไปจากธรรมเลย แม้แต่ที่กล่าวถึงความเพียร ก็ไม่พ้นไปจากธรรม เพราะเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่มีตัวตนที่ไปทำความเพียร เพราะความเพียรเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะเพียรไปทางใด ระหว่างเพียรถูก กับ เพียรผิด ซึ่งเป็นไปตามการสะสม ของแต่ละบุคคลจริงๆ
ความเพียร (วิริยะ) เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปเกิดร่วมกับจิตเกือบทุกประเภท เช่น ในขณะที่ฟังพระธรรม ขณะที่ให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น ก็มีความเพียรเกิดร่วมด้วย หรือ แม้กระทั่งขณะที่อกุศลจิตเกิด ไม่พอใจ ขุ่นเคืองใจโกรธ หรือ ติดข้องยินดีพอใจ เป็นต้น ก็มีความเพียรเกิดร่วมด้วย ดังนั้นความเพียรจึงมีทั้งเพียรที่เป็นกุศล และเพียรที่เป็นอกุศลด้วย จึงควรพิจารณาว่า ความเพียรใดๆ ก็ตาม ถ้าหากว่าเมื่อเพียรไปแล้วเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของอกุศล ทำให้กุศลธรรมเสื่อมไป ความเพียรนั้นไม่ควรเริ่มตั้ง ไม่ควรประกอบ ในทางตรงกันข้ามความเพียรใดๆ ถ้าหากว่าเมื่อเพียรไปแล้ว เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมทำให้อกุศลธรรมเสื่อมไป ความเพียรนั้น ควรเริ่ม ควรประกอบ
สำหรับในชีวิตประจำวัน ที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล คือ ความเพียรที่เป็นไปกับการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา พร้อมทั้งเจริญกุศลทุกๆ ประการ เพื่อขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน เป็นความเพียรที่ควรประกอบ ควรอบรมให้มีขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะคล้อยไปสู่การดับกิเลสพ้นจากทุกข์ได้ในที่สุด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...