การสะสมกุศล โดยการอบรมเจริญปัญญา
สืบเนื่องจากกระทู้ เชิญชวนทำมหากุศล มีข้อความบางส่วนที่ท่านวิทยากรเขียน ดังนี้
..... แต่ควรอย่างยิ่งที่แต่ละบุคคลจะสะสมกุศล ทั้งทาน ศีล และการอบรมเจริญปัญญา สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมปัญญาไปตามลำดับ
สำหรับท่านที่ไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากๆ เรื่องของทานกุศล ก็คงทำได้น้อยตามกำลังทรัพย์ แต่การฟังพระธรรมเข้าใจ ก็เป็นการอบรมเจริญปัญญาสะสมกุศล พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในเรื่องนี้ไว้อย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กุศลเป็นสภาพธรรมที่ดงาม ซึ่งกุศลมีหลายประการ ทั้งทาน ศีล ภาวนา แต่กุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่สามารถละ ดับกิเลสได้ และยังทำให้วนเวียนไปในวัฏฏะ ไม่สิ้นทุกข์ แต่กุศลที่ประเสริฐและมีค่า คือ กุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ความเห็นถูก ซึ่งใน วิชชาสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า วิชชา เป็นหัวหน้าของกุศลธรรมคือเพราะอาศัย ปัญญา ความเห็นถูก ย่อมนำมาซึ่งความดีประการต่างๆ เพิ่มขึ้น ทั้งการให้ทาน รักษาศีล เมตตา เป็นต้น ก็เจริญขึ้นตามกำลังปัญญาที่เพิ่มขึ้น เพราะเมื่อมีความเห็นถูก ย่อมคิดถูก วาจาถูก และ การกระทำทางกายก็ถูก ตามปัญญา ครับ และ ปัญญาจะมีได้อย่างไร หากไม่มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระะรรม จึงเป็นกุศลที่มีค่ายิ่ง เพราะทำให้เกิดปัญญา ละคลายอวิชชา อกุศล และ กิเลสประการต่างๆ ได้อย่างแท้จริง ครับ
สมดังพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในพระสูตรต่างๆ รวมทั้งพระเถระที่แสดงถึงคุณของการฟังพระธรรม ดังนี้
[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ ๔๙
เถรคาถา เอกนิบาต วรรคที่ ๒
๑. มหาจุนทเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมหาจุนเถระ
[๒๖๘] ได้ยินว่า พระมหาจุนทเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
การฟังดี เป็นเหตุให้การฟังเจริญ การฟังเป็นเหตุให้เจริญปัญญา บุคคลจะรู้ประโยชน์ก็เพราะปัญญา ประโยชน์ที่บุคคลรู้แล้ว ย่อมนำสุขมาให้
การฟังพระธรรมเป็นกุศลเป็นความดี เป็นการฟังเรื่องสัจจธรรมสิ่งที่มีจริงเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ฟังในสิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาเข้าใจสภาพธรรมที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคล ว่าแท้ที่จริงก็เป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ เท่านั้นจริงๆ ทำให้เข้าใจโลก และเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง
ผลจากการฟังพระธรรม คือ มีปัญญา ความรู้ความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรม เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส และดับกิเลสได้ในที่สุด แต่ละบุคคลมีกิเลสมากเหลือเกิน การที่กิเลสจะค่อยๆ หมดไปได้ คลายไปได้ ก็ด้วยความเห็นถูกที่ถูกต้องจากการฟังพระธรรม แล้วก็เป็นความเข้าใจของตนเองด้วย ที่จะทำให้มีศรัทธาเพิ่มขึ้น ฟังมากขึ้น แล้วก็สามารถที่จะน้อมประพฤติปฏิบัติตามได้
เมื่อมีการฟังพระธรรมและมีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ กุศลธรรมประการต่างๆ ก็จะเจริญขึ้นตามระดับขั้นของปัญญาด้วย เพราะเหตุว่า เมื่อปัญญาเจริญขึ้น การคิด การกระทำ และคำพูด ก็จะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เพราะมีพระธรรมเป็นเครื่องฝึกที่ดี สูงสุด คือ เมื่อปัญญาคมกล้าขึ้นก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ปราศจากกิเลสซึ่งเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ตามลำดับมรรค
เพราะฉะนั้น จึงสรุปได้ว่า การฟังพระธรรม เป็นการศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เพื่อให้เข้าใจธรรมซึ่งมีจริงอยู่ทุกขณะตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นประโยชน์กับทุกคน โดยไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดวัย ขณะที่ฟังพระธรรม ขณะนั้นเป็นกุศล เป็นความดี โดยที่ไม่ต้องไปขวนขวายหาวัตถุมาให้ทานเลยก็เป็นกุศลแล้วในขณะที่ฟังพระธรรม ซึ่งก็หมายรวมถึง การอ่าน การพิจารณาไตร่ตรอง การสนทนา การสอบถามจากกัลยาณมิตรผู้ที่มีปัญญาด้วย ทั้งหมดทั้งปวงนั้น เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาทั้งสิ้น แต่จะเจริญขึ้นมากน้อยแค่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่ที่การสะสมมาของแต่ละบุคคล อย่างแท้จริง ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเนินไปในแต่ละวันนั้น เป็นจิตแต่ละขณะ ตั้งอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตขณะต่อไปก็เกิดสืบต่อทันที,ขณะที่ได้เห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ขณะที่กุศลจิตเกิด อกุศลจิตเกิด เป็นต้น ล้วนเป็นจิตทั้งนั้น ชีวิตจะปราศจากจิตไม่ได้เลย ดำเนินไปอย่างนี้ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้ ประมวลเรียกว่าชีวิตแล้วในชีวิตนี้ช่วงเวลาที่ดีที่มีค่า นั้นควรจะเป็นอย่างไร? ผู้ที่มีปัญญาย่อมจะพิจารณาได้ว่าช่วงเวลาของชีวิตที่ดี ที่มีค่า ก็คือการมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ตนเองได้มีความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง จากที่เคยไม่รู้มานานแสนนาน จากที่เคยเข้าใจเพียงเล็กน้อย หรือ เข้าใจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ก็จะทำให้เข้าใจถูกต้อง ตรงยิ่งขึ้น ก็เพราะมีการฟังพระธรรม ในขณะที่เข้าใจก็ผ่องใสด้วยกุศล จะแตกต่างจากขณะที่ไม่ได้ฟังพระธรรมซึ่งจะหนักไปด้วยอกุศลประการต่างๆ มากมาย
วันหนึ่งๆ สำหรับผู้ที่เป็นปุถุชน อกุศลจิตเกิดมากเป็นพื้นอยู่แล้ว ยิ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม กิเลสอกุศลมีแต่จะหนาแน่นเพิ่มขึ้นทุกวันๆ แต่เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้นๆ จากการฟังพระธรรม ย่อมจะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม ขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงควรอย่างยิ่งที่จะค่อยๆ สะสมความรู้ความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย [ค่อยๆ เรียนค่อยๆ รู้] ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอย่างตั้งใจและมีความจริงใจในการศึกษาว่าศึกษาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ศึกษาเพื่อละ เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น และที่สำคัญการฟังพระธรรมแต่ละครั้งจะมากหรือน้อยย่อมไม่ไร้ผล มีแต่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญาไปตามลำดับจนกว่าจะถึงการดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...