อย่าให้มีกิเลส ?
เมื่อเช้าได้รับฟังข้อความนี้จากสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง ซึ่่งรับฟังได้ทั่วประเทศ จึงอยากเรียนถามว่า กิเลส คืออะไร สามารถที่จะ อย่าให้มีกิเลส ได้หรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กิเลส เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอกุศลธรรม เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต พระอริยบุคคลเท่านั้นที่จะดับกิเลสได้ตามลำดับมรรค เมื่อว่าโดยจำนวนแล้ว กิเลสไม่พ้นจากอกุศลธรรม ๑๐ ประการ คือ โลภะ (ความติดข้องยินดีพอใจ) โทสะ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ) โมหะ (ความหลง ความไม่รู้) มานะ (ความสำคัญตน) ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม) อหิริกะ (ความไม่ละอายต่ออกุศลธรรม) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่ออกุศลธรรม) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) และถีนะ (ความท้อแท้ท้อถอย หดหู่)
กิเลส จึง เป็นสภาพธรรมที่เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เมื่อกิเลสเกิดขึ้นย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง
อย่าให้มีกิเลส คงไม่สามารถทำได้ เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา กิเลส ก็เป็นธรรม เช่น โลภะ โทสะ โมหะ ก็เป็นธรรม จึงไม่สามารถบังคับได้ ไม่มีตัวตนที่อย่า แต่เพราะมีเหตุปัจจัย กิเลสจึงเกิดขึ้น เป็นปกติธรรมดาของปุถุชน สำคัญที่การอบรมปัญญาเข้าใจถูกว่า กิเลสเป็นธรรมไม่ใช่เรา เข้าใจในสิ่งที่เกิดแล้ว ไม่ใช่บังคับอย่าให้เกิด เพราะเพียงเห็น กิเลสก็เกิดแล้วโดยไม่รู้ตัว ครับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้ผู้ฟังผู้ศึกษารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง การศึกษาพระธรรมนี้เอง เป็นหนทางเพื่อการดับกิเลสทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ในเบื้องต้นเมื่อปัญญายังไม่เพียงพอ ย่อมดับกิเลสไม่ได้ แต่เมื่อค่อยๆ รู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย ก็ย่อมจะไม่เดือดร้อนกับกิเลสที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไป ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม เพราะกิเลสที่มีมากต้องอาศัยปัญญาเท่านั้น จึงจะดับให้หมดสิ้นได้ ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังเป็นปุถุชน หนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมจะมีกิเลสเกิดขึ้นเกือบทั้งวัน กุศลเกิดน้อยมากถ้าเทียบกับอกุศล ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในวันนี้ในชาตินี้เท่านั้น แต่ว่าได้เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์เพราะได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมายนับชาติไม่ถ้วน จึงเป็นผู้ไหลไปด้วยอำนาจของกิเลส ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ กิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ โมหะเป็นต้น เป็นศัตรูภายใน เป็นข้าศึกภายใน เป็นมลทินของจิต เป็นสิ่งที่หักราน หรือ ตัดรอนขัดขวาง ไม่ให้ความดีเจริญขึ้น กิเลสประการต่างๆ เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต เมื่อเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ก็เป็นเครื่องตัด หรือทำลายซึ่งความดี ไม่สามารถทำให้กุศลธรรมเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้นได้เลย ยกตัวอย่างกิเลส ๓ ประเภท คือ โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อโลภะเกิดขึ้นก็ติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ปล่อย ไม่สละ ไม่ยอมให้จิตเป็นกุศล และกว้างกว่านั้น ไม่ปล่อยออกจากสังสารวัฏฏ์ โลภะเป็นเหตุให้วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ไม่สิ้นสุด โทสะเป็นกิเลส ขณะที่โทสะเกิดขึ้น คุณความดีเกิดไม่ได้ มีแต่ความขุ่นข้องหมองใจไม่พอใจ เมื่อสะสมมีกำลังมากขึ้นก็ถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรมประทุษร้ายผู้อื่นให้เดือดร้อน และจิตของผู้ถูกโทสะครอบงำย่อมไม่น้อมไปสู่กุศลธรรมเลย โมหะเป็นกิเลส ขณะที่มีโมหะ ขณะนั้นมืดมิด ไม่สามารถรู้สภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริงได้ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่รู้ว่าอะไรเป็นคุณเป็นโทษและตราบใดที่ยังมีโมหะอยู่ ก็ย่อมเป็นเหตุให้อกุศลประการต่างๆ เกิดตามมาอีกมากมาย ทำให้วนเวียนในสังสารวัฏฏ์ต่อไป นี้เพียง ๓ ประเภทใหญ่ๆ ที่เป็นกิเลส นอกจากนั้นก็ยังมีความเห็นผิด ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัวต่อบาป ความสำคัญตน ความฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ความท้อแท้ท้อถอย แต่เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว กิเลสทุกประเภท เป็นธรรมฝ่ายที่ไม่ดี ตัดรอนโอกาสของกุศลธรรม เพราะฉะนั้น ผู้มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะเห็นพระมหากรุณาคุณ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมอย่างละเอียด โดยประการทั้งปวง ซึ่งถ้าไม่ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด ก็จะไม่มีใครรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่ายังเป็นผู้เต็มไปด้วยกิเลส ยังมีส่วนที่ไม่ดีอยู่มากทีเดียวที่จะต้องขัดเกลา
และที่สำคัญ เพราะยังมีกิเลสอยู่นี้เองจึงยังต้องมีการเกิดและตายอย่างไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าจะได้มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง การอบรมเจริญปัญญาสะสมปัญญาไปตามลำดับเป็นหนทางที่จะทำให้จะค่อยๆ ละคลายกิเลส จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ ในที่สุด ด้วยความเข้าใจถูกเห็นถูก
กิเลสจะไม่หมดไป ด้วยความอยาก ความต้องการ หรือ ด้วยความบังคับบัญชา เพราะนั่นเป็นการเพิ่มกิเลสให้มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่การขัดเกลาเลย แม้แต่น้อย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...