ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๖

 
khampan.a
วันที่  17 ส.ค. 2557
หมายเลข  25322
อ่าน  2,083

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาต แบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๖

ธรรม เป็นอนัตตาทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรจะประมาท เพราะรู้ว่าอกุศลล้อมรอบทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ หลงลืมสติขณะใด ไม่พ้นจากอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใดเลย แม้จะรู้ว่า อกุศลธรรมเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิด แต่ว่าในชีวิตของแต่ละคน ย่อมรู้สึกได้ว่า ได้กระทำไปในหลายสิ่ง ซึ่งภายหลังก็รู้สึกว่า ไม่ควรที่จะกระทำ อย่างนั้นเลย แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น การกระทำอย่างนั้น ก็เกิดขึ้นเป็นไป

หนทางเดียวที่จะระงับความเดือดร้อนใจได้ ก็คือระลึกรู้ว่า ขณะนั้นเป็นเพียง สภาพธรรมแต่ละชนิดซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มิฉะนั้นแล้ว ก็จะกังวลเดือดร้อน และไม่สามารถจะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่สามารถที่ จะบรรลุคุณธรรมของพระอริยเจ้า เมื่อไม่เป็นพระอริยบุคคล ก็ยังมีเหตุปัจจัยที่จะ ให้เกิดในอบายภูมิได้

ควรที่จะได้ทราบว่า ตื่นขึ้นมาส่วนใหญ่แล้ว กิเลสตื่นทั้งนั้น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วแต่ว่ากิเลสของใคร จะวุ่นวายสัก แค่ไหน จะทำให้เกิดความเดือดร้อนใจและกายสักแค่ไหน แต่ว่าเมื่อทราบ อย่างนี้แล้ว ก็ยังจะมีการขวนขวายที่จะอบรมเจริญกุศลให้เกิด ไม่ว่าจะเป็นโดยขั้นของทาน ศีล ความสงบของจิตหรือว่าขั้นที่เป็น สติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะรู้ว่า อกุศล มีมาก นั่นเอง

สภาพธรรมทั้งหลายไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดมีอำนาจที่จะยับยั้ง หรือที่จะดับอกุศลได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่า มีอกุศลมาก มีกิเลสมาก ก็ยังไม่สามารถที่จะมีตัวตนที่ดับกิเลส อกุศลเหล่านั้น นอกจากปัญญาที่ค่อยๆ อบรมเจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลเสียก่อน แล้วจึงจะละคลาย โลภะ โทสะ โมหะ ลงได้

เวลาที่เกิดความรู้สึกสงสาร เวลาที่เห็นบุคคลอื่นประสบกับความทุกข์ ยากเดือดร้อน ใคร่ที่จะช่วยเหลือให้บุคคลนั้นพ้นจากความทุกข์ยาก ในขณะ ที่เกิดจิตที่ประกอบด้วยความกรุณา สภาพธรรมที่เป็นกรุณาเจตสิก ขณะนั้น เป็นกุศลจิต แต่ต้องระวังนะคะ ต้องรู้ลักษณะของเวทนาในขณะนั้นว่า เป็นความ ไม่แช่มชื่นหรือเปล่า ถ้าขณะนั้นประกอบด้วยความรู้สึกโทมนัส เสียใจ ไม่แช่มชื่น ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต

หลังเห็นแล้วโลภะเกิด หลังเห็นแล้วสติเกิด บอกให้ทำหรือเปล่า หรือว่า แสดงความจริงว่า แล้วแต่ขณะนั้นมีปัจจัยที่สภาพธรรมใดจะเกิด

สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม และเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงเป็นอภิธรรม และสิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ นั้นใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงลักษณะไม่ได้ จึงเป็นปรมัตถธรรม

ในการศึกษาพระธรรมนั้น ไม่ใช่ศึกษาอย่างอื่น แต่ศึกษาเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน

พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เกิดปัญญาเป็นของตนเอง ด้วยการตั้งใจฟัง คำของพระองค์ ไม่ใช่พึ่งเพื่อขอให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ

ทางไปสู่นรก ก็มี ทางไปสู่การเกิดเป็นเปรตก็มี ทางไปสู่การเกิดเป็นสัตว์ ดิรัจฉาน ก็มี ทางไปสู่สุคติ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดาก็มี ทางไปสู่พระนิพพาน ก็มี แต่เพราะไม่รู้ จึงเดินไปตามทางอันจะทำให้ตนเองไปเกิดในอบายภูมิ คือ กระทำอกุศลกรรม

วิบาก ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ต้องมาจากเหตุคือกรรม ที่เป็นกุศลกรรมบ้าง และ อกุศลกรรมบ้าง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นทางที่จะได้รับผลของกรรม

ชีวิตของคนเรา แบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนหนึ่งเป็นการได้รับ ผลของกรรม และอีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนที่เป็นเหตุที่จะทำให้เกิดผลในภายหน้า

กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) มาจากไหน ก็มาจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย เมื่อได้เหตุปัจจัยกิเลสก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ติดข้องบ้าง ขุ่นเคืองใจ บ้าง เป็นต้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง แล้วทรงแสดงความจริง เกื้อกูล แก่สัตว์โลก โดยใช้คำ ใช้ชื่อต่างๆ เพื่อให้เข้าใจถึงตัวจริงของสภาพธรรม ถ้าไม่ใช้ชื่อ ไม่ใช้คำ จะรู้ได้อย่างไรว่า กำลังกล่าวถึงสภาพธรรมใด ใครก็ตาม ที่ตั้งใจที่จะรับฟังความจริง เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม เราก็พร้อมที่จะให้การเกื้อกูลบุคคลผู้นั้น เท่าที่จะเป็นไปได้ เราคงไม่ไปพูดธรรม กับคนทั่วๆ ไปที่เดินตามถนนหนทาง

คนที่ได้ฟังพระธรรม มีน้อย จะเห็นได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง พระธรรม พวกอัญญเดียรถีย์ทั้งหลาย ก็ไม่ไปฟัง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงบังคับใครให้ใส่ชุดขาวเวลาไป พระวิหารเชตวัน

ชุดขาว เป็นเพียงเครื่องแต่งกายของคฤหัสถ์เท่านั้น ไม่ใช่รูปแบบหรือ สัญญลักษณ์แห่งการปฏิบัติธรรม

สัจจะ ต้องเป็นเรื่องของความตรงต่อพระธรรม จริงใจ ในการที่จะสะสมความดี และ ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เป็นไปในทางฝ่ายที่เป็นกุศลเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของอกุศล เช่น ถ้าตั้งใจที่จะขโมยแล้วจะต้องขโมยให้ได้ ตั้งใจที่จะโกง ก็ต้องโกงให้ได้ อย่างนี้ ไม่ใช่สัจจะ

บุคคลผู้ที่ตรง เท่านั้น ที่จะได้สาระจากพระธรรม เมื่อยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ ก็ต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ถ้ามีปัญญา เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว จะไม่ไปนั่งสมาธิเลย ฟังพระธรรมแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ดีไหม?

ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้ แม้ในขณะที่กำลัง ฟังพระธรรม ซึ่งไม่อยากให้หลับเลย แต่ก็มีบางคนที่นั่งหลับขณะฟังพระธรรม นี่ก็แสดงถึงธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย

ไม่มีอะไรที่จะชำระจิตใจให้สะอาดได้ นอกจากความเข้าใจพระธรรม.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๕

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 17 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kullawat
วันที่ 17 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
orawan.c
วันที่ 17 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chamaikorn
วันที่ 17 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Boonyavee
วันที่ 17 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 17 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 18 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 18 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 19 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
thassanee
วันที่ 19 ส.ค. 2557

ขอขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
j.jim
วันที่ 19 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wannee.s
วันที่ 20 ส.ค. 2557

ไม่มีอะไรที่จะชำระจิตใจให้สะอาดได้ นอกจากความเข้าใจพระธรรม

อนโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 21 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
สิริพรรณ
วันที่ 25 พ.ย. 2557

ถ้าไม่รู้ความจริงที่พระธรรมแสดงไว้อย่างละเอียด

ก็จะหลงยึดมั่นในความเป็นคนนั้น คนนี้

ชอบ รัก ชัง ยึด เกลียด โกรธ

ล้วนเป็นสิ่งที่พาให้มาเกิดเวียนวนในกองทุกข์แห่งสังสารวัฏฏ์

ที่ร้ายกว่านั้น ตายจากคน ก็ไปเกิดเป้นสัตว์ได้

หมดโอกาสรู้ความจริง ยิ่งหลงในอกุศลมากขึ้น เพิ่มขึ้น

ขอกราบนอบน้อมพระคุณพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

กราบบูชาคุณท่านอ.สุจินต์เป็นอย่างสูง และอนุโมทนาในกุศลจิต อ.กำปั่น ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ