ขอถามเรื่องพระโสดาบัน เป็นสิ่งที่ยากง่ายเพียงใด

 
schwinn
วันที่  20 ส.ค. 2557
หมายเลข  25346
อ่าน  1,461

๑. การบรรลุพระโสดาบันนั้นเป็นสิ่งที่ยากง่ายเพียงใดสำหรับฆราวาสธรรมดาอย่างผมครับ

๒. การทำตามสายกลาง คือ มรรค ๘ นั้น และการเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญาอย่างถูกต้องนั้น เป็นทางเพื่อบรรลุพระอริยมรรคใช่ใหมครับ ถ้าเช่นนั้นควรจะเริ่มจากการทำอะไรดีครับ

๓. เราควรจะมีสภาวะอย่างไรบ้าง เราจึงจะบรรลุพระอริยมรรคได้ครับ (เช่นการที่ไม่ได้ทำอนันตริยกรรม ฯลฯ)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 20 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. การบรรลุพระโสดาบันนั้นเป็นสิ่งที่ยากง่ายเพียงใดสำหรับฆราวาสธรรมดาอย่างผมครับ

★ ประเด็นเรื่องพระโสดาบัน ก่อนอื่นควรที่จะได้เข้าใจว่า พระโสดาบัน คือใคร? พระโสดาบัน คือ ผู้ที่ถึงพระนิพพาน เป็นครั้งแรก ซึ่งก็คือ เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๑ ที่ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพานดับกิเลสได้ในระดับหนึ่่ง ดับกิเลสได้เพียงบางส่วนตามสมควรควรแก่มรรคที่ท่านได้ ยังไม่สามารถดับได้ทั้งหมด พระโสดาบันดับความเห็นผิดทุกประการ ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ดับความตระหนี่ ดับความริษยา ดับกิเลสอย่างหยาบที่จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในอบายภูมิ เพราะพระโสดาบันเป็นผู้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป ท่านเกิดอีกอย่างมาก ไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงๆ ขึ้นไป กล่าวคือ บรรลุเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

ซึ่งการจะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ไม่ว่าจะเป็นเพศบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ เป็นเรื่องที่ยากแสนยาก และ ไกลแสนไกล แต่สามารถอบรมไปถึงได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานนับชาติไม่ถ้วน ซึ่งหากได้อ่านประวัติพระสาวก จะเห็นถึงการอบรมบารมี มานับชาติไม่ถ้วน ทั้ง นางวิสาขา ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็ต้องอบรมมานับชาติไม่ถ้วน เพราะสะสมกิเลสมามากมาย และ ปัญญามีน้อย เพราะฉะนั้น หนทางการบรรลุก็ด้วยการฟังศึกษาพระธรรมต่อไปอย่างยาวนาน ครับ


๒. การทำตามสายกลาง คือ มรรค ๘ นั้น และการเจริญ ศีล สมาธิ ปัญญาอย่างถูกต้องนั้น เป็นทางเพื่อบรรลุพระอริยมรรคใช่ใหมครับ ถ้าเช่นนั้นควรจะเริ่มจากการทำอะไรดีครับ

★ พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง โดยเฉพาะหนทางการดับกิเลส ดังนั้น ในเรื่องของศีล สมาธิ และปัญญา ก็ต้องเข้าใจว่า คืออะไร

ศีล มีหลายอย่าง หลายระดับ ทั้ง ศีลที่เรามักเข้าใจกันทั่วไป คือ การงดเว้นจากการทำบาป ทางกาย วาจา เป็นต้น แต่มีศีลที่ละเอียดยิ่งไปกว่านั้น ที่เป็นศีล ที่เรียกว่า อธิศีล อันเป็นศีลที่เกิดพร้อมกับ สมาธิและปัญญา

สมาธิ โดยทั่วไป ก็เข้าใจกันว่า คือ การนั่งสมาธิให้สงบ แต่ในทางพระพุทธศาสนา จะใช้คำว่า อธิจิตสิกขา หรือ บางครั้งใช้คำว่า สัมมาสมาธิ ที่มุ่งหมายถึง การเจริญสมถภาวนา และ สมาธิที่เกิดพร้อมกับปัญญาในปัญญาขั้นวิปัสสนา

ปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนา ก็มีหลายระดับ แต่ คือ ความเห็นถูก เช่น เชื่อกรรมและผลของกรรม ปัญญาขั้นการฟังการศึกษา ปัญญาขั้นสมถภาวนา และปัญญาขั้นวิปัสสนาภาวนา

เมื่อพูดถึงหนทางการดับกิเลส จะใช้คำว่า การอบรม ไตรสิกขา คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา และ อธิปัญญาสิกขา ดังนั้น ศีลโดยทั่วไป ที่งดเว้นจากบาป ศาสนาอื่นๆ ก็มี ไม่ใช่ หนทางที่จะดับกิเลส ไม่ใช่ อธิศีลสิกขา สมาธิ ที่เป็นการเจริญสมถภาวนาจนได้ฌาน แม้ก่อนพุทธศาสนาจะบังเกิดขึ้น ก็มีการเจริญสมถภาวนา แต่ สมาธินั้น ไม่ใช่ อธิจิตสิกขา ส่วนปัญญา ที่จะเป็นไตรสิกขา อันเป็นหนทางการดับกิเลส ก็จะต้องเป็นปัญญาระดับวิปัสสนาภาวนา ครับ ดังนั้น เมื่อว่าโดยความละเอียดแล้ว ไม่ได้หมายความว่า การจะเจริญหนทางการดับกิเลส ที่เรียกว่าไตรสิกขา จะต้องรักษาศีลก่อน แล้วค่อยอบรมสมาธิ และจึงจะไปเจริญวิปัสสนาได้ที่เป็นปัญญาครับ ต้องเข้าใจพื้นฐานก่อนว่า จิตเมื่อเกิดขึ้น จะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยหลายดวง แม้ขณะที่เป็นสติปัฏฐานหรือวิปัสสนา ขณะนั้นก็เป็นจิตที่เป็นกุศลประกอบด้วยปัญญา มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยหลายดวง ขณะที่ สติปัฏฐานเกิด ขณะนั้นมี สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ทั้ง 2 นี้ เป็น (อธิปัญญา) และมีสัมมาวิริยะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ (เป็นอธิจิต หรือ สมาธิ) และมีเอกัคคตาเจตสิกที่เกิดพร้อมกับ สติปัฏฐาน ที่เป็นองค์ของสมาธิ ด้วย และมีศีลด้วยในขณะที่สติปัฏฐานเกิด คือ อินทรียสังวรศีล ศีลที่เป็นการสำรวมทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ในขณะนั้น ครับ เป็นอธิศีล หรือ สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ ซึ่งเป็นอธิศีล ก็เกิดพร้อมกับ สมาธิและปัญญาในขณะที่อริยมรรคเกิด เพราะฉะนั้น หนทางการบรรลุ คือ การฟัง ศึกษาพระธรรม ย่อมเกิด ศีล สมาธิ และ ปัญญาพร้อมกัน ในขณะที่สติปัฏฐานเกิดรู้ความจริงของสภาพธรรม ครับ


๓. เราควรจะมีสภาวะอย่างไรบ้าง เราจึงจะบรรลุพระอริยมรรคได้ครับ (เช่นการที่ไม่ได้ทำอนันตริยกรรม ฯลฯ)

★ ต้องมีปัญญา คือ เกิดด้วย จิตที่ประกอบด้วยปัญญา และ ไม่ได้ทำอนันตริยกรรมในชาติ และที่สำคัญที่สุด คือ มีปัญญาที่อบรมมามากแล้วอย่างยิ่งที่พร้อมจะบรรลุ เพราะฉะนั้น เรื่องบรรลุ คงไม่ต้องพูดถึงอีกนานแสนนาน อีกไกลแสนไกล สำคัญที่อบรมเหตุ คือ การเข้าใจหนทางที่ถูกต้องอันเริ่มจากการฟังศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
schwinn
วันที่ 20 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 20 ส.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก ที่สามารถดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ดับได้เป็นเพียงบางประเภท ยังไม่สามารถดับได้ทุกประการ เพราะผู้ที่จะดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือนั้น คือ พระอรหันต์ การเป็นพระอริยบุคคลทุกขั้น เป็นได้ด้วยปัญญาและต้องดำเนินตามหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลายคือ อริยมรรค มีองค์ ๘ ที่เริ่มด้วย ความเห็นที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีปัญญา ไม่ดำเนินตามหนทางที่ถูกต้องแล้ว ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคลได้เลย ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ก็ตาม และที่สำคัญ ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคลด้วยความอยากด้วยความต้องการ หรือ ด้วยการไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน แต่ต้องด้วยการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น

-คำว่า ทางสายกลาง เป็นคำที่แปลมาจากภาษาบาลีว่า มัชฌิมาปฏิปทา เป็นทางที่ที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย ได้แก่ อริยมรรค มีองค์ ๘ (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ) เป็นทางที่ทำให้ผู้ที่อบรมเจริญ บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ได้ ตามระดับขั้นของปัญญาไม่ว่าจะเป็นเพศบรรพชิตหรือเพศคฤหัสถ์ก็ตามและประการที่สำคัญ ทางสายกลาง ที่พูดกันในภาษาไทย นั้น ไม่ตรงกับคำสอนทางพระพุทธศาสนา เพราะทางสายกลางในทางพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นทางที่ไม่เข้าใกล้ส่วนสุด ๒ ทาง คือ การหมกมุ่นอยู่ในกาม และการทรมานตนให้ลำบาก

-พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น มีความละเอียดลึกซึ้งยากที่จะตรัสรู้ตามได้ เป็นธรรมอันบัณฑิตเท่านั้นที่จะรู้ได้ ธรรมจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะกว่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ต้องใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมีตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ถ้าไม่ฟังไม่ศึกษาเลย ปัญญาย่อมไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้เลย เหตุที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ก็คือ ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ ไตร่ตรองพิจารณาในเหตุในผลของธรรม ธรรม ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย ไม่ว่าจะฟังพระธรรมส่วนไหน ก็ไม่พ้นไปจากเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีจริงในขณะนี้จริงๆ ปัญญาไม่สามารถจะเจริญขึ้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ เพียงแค่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ ชาตินี้ ยังไม่พอ ต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีกเป็นเวลาอันยาวนาน (จิรกาลภาวนา) ซึ่งมีข้ออุปมาเหมือนการจับด้ามมีด เมื่อจับบ่อยๆ นานๆ รอยสึกย่อมปรากฏได้ ปัญญาก็เช่นกัน ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการสะสม ในการอบรม จึงจะเจริญขึ้นได้ เมื่อปัญญาถึงความสมบูรณ์พร้อมก็ทำให้ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ได้ ซึ่งก็เป็นการรู้สิ่งที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริง แต่ก็เป็นเรื่องที่ยาก และยาวไกลมากกับการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม

สำหรับผู้ที่จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลในชาตินั้นได้ ต้องไม่กระทำอนันตริยกรรม ต้องเป็นผู้ไม่พิการบ้าใบ้บอดหนวกตั้งแต่กำเนิด ไม่ว่าร้ายพระอริยเจ้า ไม่มีความเห็นผิดที่ดิ่งที่แก้ไขไม่ได้ (ถ้าเป็นบรรพชิต ก็ไม่มีอาบัติใดๆ ) พร้อมทั้งเป็นผู้มีฉันทะใฝ่ใจในการศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา และเป็นผู้มีปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nopwong
วันที่ 20 ส.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 20 ส.ค. 2557

1. ศึกษาธรรมะไปตามลำดับ โดยยังไม่ต้องหวังว่าจะบรรลุพระโสดาบัน เพราะแสนยาก

2. ขั้นแรกให้ละความเห็นผิดก่อน ค่ะ

3. อบรมบารมีทั้ง 10 ประการ เป็นคนดีทำดีและอบรมปัญญา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Dechachot
วันที่ 20 ส.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 20 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 5 พ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ