จิตคิด..
อะไรเป็นจิตคิด ตอบคำถามนี้ไม่ได้ค่ะ ท่านอาจารย์ถาม ว่าอะไรที่คิด เป็นกุศลและอกุศลที่คิด เลยสงสัย กุศลและอกุศลที่คิด ขอคำสาธยายธรรม เพิ่มค่ะ
ขอบพระคุณนะคะ สาธุ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความคิดนึก เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นนามธรรม คือ เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ หมายถึงว่า เมื่อความคิดเกิดขึ้น จะต้องรู้อะไรบางอย่าง นั่นคือขณะที่มีความคิดนึกเกิดขึ้น จะต้องมีสิ่งที่ถูกคิด สิ่งที่ถูกคิด เรียกว่า อารมณ์ เพราะฉะนั้น ความคิดนึกจึงเป็นนามธรรม เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ ซึ่งความคิดนึก ก็ไม่พ้นจากนามธรรม คือ จิต เจตสิก อาศัยจิตที่เป็นใหญ่ในการรู้ ก็ทำให้มีการคิดนึก เพราะอาศัยจิต และอีกนัยหนึ่ง วิตกเจตสิกก็ทำหน้าที่ ตรึกนึกคิดได้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ครับว่า วิตกเจตสิก ที่เป็นสภาพธรรมที่ตรึก นึกคิด และอาศัยจิตด้วยนั้น ท่านเปรียบเหมือนเท้าของโลก คือ ก้าวไปทุกที่ ทุกเวลาได้ คิดเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น จิตและเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว และ จิต เมื่อเกิดขึ้น ก็ย่อมคิดนึก ไปในเรื่องราวต่างๆ ตามความทรงจำไว้ ที่เคยจำไว้ จำไว้ในเรื่องอะไร ก็คิดไปในเรื่องนั้น เพียงแต่ว่าจะคิดด้วยกุศล หรืออกุศล ซึ่งเพราะอาศัยกิเลสเป็นปัจจัย ก็ทำให้คิดไปในเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่รอบตัว และคิดเรื่องตนเองก็ได้ แต่คิดด้วยจิตที่เป็นอกุศล ด้วยความฟุ้งซ่าน เพราะอาศัยเหตุ คือ กิเลสเป็นสำคัญ ครับ
ซึ่งกระบวนการ การเกิดการคิดนึก ก็อาศัยการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก ทางมโนทวารวิถี ที่นึกคิดเป็นไปในเรื่อราวต่างๆ ตามความทรงจำ สัญญาที่จำไว้ โดยมี วิตกเจตสิกทำหน้าที่ตรึก นึกถึง ครับ
ซึ่งตามที่กล่าวแล้ว จิตและเจตสิก ทำหน้าที่คิด แต่การคิดก็ต้องเจตสิกเกิดร่วมด้วย คือ เจตสิกที่ดีเช่น ศรัทธา สติ เป็นต้น หรือ มีเจตสิกที่ไม่ดี มี โลภะ โทสะ เป็นต้น เพราะฉะนั้น การคิด ก็คิดด้วย กุศล คือ เป็นกุศลจิตที่คิดด้วยกุศลนั่นเอง เพราะมีเจตสิกที่ดีเกิดร่วมด้วยกับจิตที่คิด และบางครั้งก็คิดด้วยอกุศล คือ อกุศลจิตที่คิดเช่น คิดโกรธ คิด พยาบาท คิดชอบ ติดข้อง อันมีเจตสิกที่ไม่ดี เกิดร่วมด้วย คือ โลภะ โทสะ นี่ก็คือ คิดด้วย อกุศล ครับ
ซึ่งโดยมาก สัตว์โลกก็คิดด้วยกุศล อกุศลโดยมาก แต่การคิดที่ดี จะมีได้ ก็ด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรม อันเกิดจากความเห็นถูก คือ ปัญญา เป็นปัจจัย เพราะมีความเห็นถูก ความคิดก็ถูกต้องตามความเป็นจริง และ ความคิดที่ประเสริฐสูงสุดที่จะเป็นหนทางการละกิเลสแท้จริง คือ การคิดถูกที่เข้าใจว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกชีวิต เป็นการเกิดขึ้นของสภาพธรรม คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) ซึ่งไม่มีใครจะสามารถยับยั้งได้เลย ในชีวิตประจำวันก็จะเห็นได้ว่ากิเลส หรือ อกุศลธรรม เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของกิเลสและอกุศลธรรมนั้นๆ อยู่ตลอดเวลาที่วิบากจิต หรือ กุศลจิตไม่เกิดขึ้น นี้คือความจริง แสดงให้เห็นเลยว่า ปุถุชนมักจะตกไปจากกุศล จริงๆ ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นกิเลสระดับขั้นต่างๆ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ขณะที่จิตเป็นกุศลเท่านั้น ซึ่งคั่นกิเลสในชีวิตประจำวันชั่วครั้งชั่วขณะ กล่าวคือ ขณะที่เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในความสงบของจิต หรือเป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเกิดน้อยมากในชีวิตประจำวัน
ตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลที่ได้สะสมความคิดถูก ความเห็นถูก ความเข้าใจสภาพธรรมอย่างถูกต้อง บุคคลนั้นจะคิดไม่ดี ไม่เป็น คิดใส่ร้ายคนอื่นไม่เป็น คิดประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นไม่เป็น แต่จะคิดในทางทีดีที่ถูกที่ควร คิดที่จะมีเมตตา เห็นใจคนอื่นซึ่งเป็นผู้ที่มีกิเลสด้วยกัน คิดเกื้อกูลกันและกัน และเห็นใครทำดี ก็ชื่นชมสรรเสริญ เป็นต้น แต่ถ้าไม่ได้สะสมเหตุที่ดีมา ไม่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม ก็จะคิดในทางตรงกันข้าม คิดในทางที่เป็นอกุศล ซึ่งขณะนั้นก็เบียดเบียนทำร้ายตนเอง นั่นเอง ซึ่งไม่ควรเลยที่จะเป็นอย่างนี้
เมื่อมีชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นไป มีกาย วาจา และ ใจ แล้ว ก็ไม่ควรที่จะมีไว้เพื่อพอกพูนอกุศลให้มากขึ้น แต่ควรที่จะเป็นไปในทางที่จะทำให้กุศลธรรมเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ เมื่อความเข้าใจเจริญขึ้น ความเข้าใจนี้แหละ จะเป็นเครื่องนำทางชีวิตที่ดี เป็นเครื่องคอยเตือนว่า สิ่งไหน ควรทำ และสิ่งไหน ไม่ควรทำ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จิต คือ สภาพรู้ จิตคิดได้ต่างๆ นานา คิดเป็นกุศลก็ได้ เช่น คิดเมตตา และ คิดเป็นอกุศลก็ได้ เช่น โกรธ ไม่ชอบ ค่ะ