อยากสอบถามเกี่ยวกับการเห็นภาพครับ
อยากสอบถามเกี่ยวกับการเห็นภาพ เป็นการเห็นรูปต่างๆ ซึ่งรูปารมณ์หรือจักขุวิญญาณเห็นครับ รบกวนขยายความด้วยครับ
ขอบคุณมากครับอนุโมทนาสาธุสาธุสาธุครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อารมณ์ เป็นสิ่งที่จิตรู้ หรือ สิ่งที่ถูกจิตรู้ (สิ่งที่เป็นที่มายินดีของจิต เรียกว่า อารมณ์) ที่ใช้คำว่า รูปารมณ์ หมายถึง สภาพธรรมอย่างหนึ่งคือ รูป หรือ สี ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่ใช่อย่างอื่น มีชื่อที่ใช้เรียกมากมาย ก็เพื่อส่องถึงอรรถว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นรูปธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น ครับ
เห็นเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ใครเห็นไม่ใช่เราเห็น เป็นธรรมที่ทำหน้าที่เห็น เมื่อเห็นเกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น ดังนั้น สภาพเห็นจึงเป็นสภาพรู้ เพราะรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ในขณะนั้นที่เห็นครับ เพราะฉะนั้น เห็นจึงเป็นสภาพธรรมที่เป็นจิต เป็นสภาพรู้ เมื่อเป็นจิตแล้วจึงเป็นนามธรรมครับ ซึ่งจิตเห็นเป็นจิตประเภทหนึ่ง เรียกว่า จักขุวิญญาณจิต หรือเรียกว่าจิตเห็นก็ได้ อันเป็นจิตชาติวิบาก คือ เป็นผลของกรรมนั่นเองครับ ขณะที่จิตเห็นเกิดขึ้น ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น เจตสิกก็เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้เช่นกัน และเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น สิ่งที่ถูกเห็น หรือ สิ่งที่ถูกจิตรู้ ภาษาธรรมเรียกว่า อารมณ์ ดังนั้นเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ต้องมีอารมณ์ หรือมีสิ่งที่จิตเห็นรู้ในขณะนั้น สิ่งที่ถูกจิตเห็นรู้คืออะไร จิตเห็นจะรู้เสียงได้ไหม ไม่ได้ครับ จิตเห็นรู้กลิ่นก็ไม่ได้ ครับ ดังนั้น สิ่งที่จิตเห็นรู้ ขณะนี้กำลังเห็นก็คือ สีนั่นเองหรือเรียกว่าสิ่งที่ปรากฎทางตา
จิตเห็นจึงทำหน้าที่รู้ รู้สี หรือ รู้สิ่งที่ปรากฎทางตา จิตเห็นจึงเป็นนามธรรม เพราะนามธรรมคือสภาพรู้ ขณะเห็น ขณะนั้นกำลังรู้ คือ รู้สีหรือรู้สิ่งที่ปรากฎทางตา สีหรือสิ่งที่ปรากฎทางตา เป็นอารมณ์ คือ เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ คือ จิตเห็นรู้ในขณะนั้น ครับ
คำถามต่อไปก็คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกจิตเห็นรู้ เป็นสภาพธรรมอะไร เป็นนามธรรมหรือรูปธรรม
สิ่งที่ปรากฎทางตา หรือ สี รู้สึกอะไรไหมครับ สิ่งที่ปรากฏทางตา คิดนึกได้ไหม รู้สึกหนาวร้อนไหม คำตอบคือ สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือ สีไม่รู้อะไรเลย เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ ดังนั้นเมื่อเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร จึงเป็น รูปธรรมนั่นเองครับ
เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
ก. อาตมาอยากจะถามเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน อาตมาได้อ่านพระอภิธรรมปิฎกเล่ม ๒ ขันธวิภังค์ ในหมวดของรูป ๒๘ รูป มีรูปที่เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ รูปละเอียด รูปไกล เป็นต้น
อ. รูปทั้งหมดมี ๒๘ รูป และมีเพียงรูปเดียวเท่านั้นที่เห็นได้ คือ รูปารมณ์ที่ปรากฏทางตาซึ่งเป็นรูปที่เห็นได้ (สนิทัสสนรูป) และกระทบได้ (สัปปฏิฆรูป) อีก ๑๑ รูป คือ เสียง ๑ กลิ่น ๑ รส ๑ โผฏฐัพพะ ๓ จักขุปสาทรูป ๑ โสตปสาทรูป ๑ ฆานปสาทรูป ๑ ชิวหาปสาทรูป ๑ กายปสาทรูป ๑ เป็นรูปที่กระทบได้แต่เห็นไม่ได้ รูป ๑๒ รูปที่กระทบได้นี้เป็นรูปหยาบจึงเป็นรูปใกล้ต่อการพิจารณารู้ได้ ส่วนรูปอีก ๑๖ รูป ที่เหลือนั้นเห็นไม่ได้ และกระทบไม่ได้จึงเป็นรูปละเอียด และ เป็นรูปไกลต่อการพิจารณารู้ได้ สภาพธรรมมีจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้นั้น ผู้อบรมเจริญสติปัฏฐานสามารถพิสูจน์รู้ลักษณะของสภาพธรรรมนั้นๆ ที่กำลังปรากฏตามปรกติตามความเป็นจริงได้ แต่ก็เป็นเรื่องละเอียดและลึกซึ้งมากเช่น รูปารมณ์ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางตานั้น เพียงได้ฟังเท่านี้ก็รู้สึกว่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ไม่ใช่ความรู้ในขณะกำลังเห็น ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐานจนปัญญาคมกล้า ก็จะไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง เพราะขณะเห็นทางตานั้นมีรูปารมณ์แน่ๆ แต่ก็เห็นเป็นคน สัตว์ เป็นวัตถุต่างๆ จนกระทั่งเกิดความสงสัยว่า รูปารมณ์นั้นเป็นอย่างไร มีลักษณะอย่างไร รูปารมณ์เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏเมื่อลืมตาแล้วเห็นโดยที่ยังไม่ได้นึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยนั่นแหละเป็นลักษณะแท้ๆ ของรูปารมณ์ซึ่งปัญญาจะต้องเจริญจนเข้าใจจนชินว่ารูปารมณ์ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน หรือวัตถุใดๆ ทั้งสิ้น ลักษณะที่แท้จริงของรูปารมณ์เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาเท่านั้นจริงๆ ฉะนั้น เมื่อสติปัฏฐานยังไม่เกิด ก็ยังไม่ระลึกศึกษาพิจารณาลักษณะของรูปารมณ์จริงๆ ว่าเป็นเพียงว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา จึงละคลายการยึดถือสิ่งที่เคยเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุต่างๆ ไม่ได้เลย
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กล่าวถึงสภาพธรรมที่มีจริงๆ คือ เห็น กล่าวในภาษาไทยธรรมดาๆ คือ "เห็น" ก็เข้าใจธรรมในภาษาของคนไทย เห็น เป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยไม่ใช่เราที่เห็น เมื่อเห็นเกิดขึ้นก็ต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น จะไปเห็นอย่างอื่นไม่ได้ จะไปเห็น เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไม่ได้ นี้คือ ความเป็นจริงของ เห็น และเห็นจะเกิดขึ้นเองลอยๆ ไม่ได้ เห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีกรรมเป็นปัจจัย จึงทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น นอกจากนั้น ก็ต้องมีเจตสิกธรรม เกิดร่วมด้วย มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ และมีที่เกิดของ จิตเห็น คือ จักขุปสาทะ ด้วย เมื่อค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างนี้ ก็พอจะเข้าใจได้ว่า ไม่มีเราแทรกอยู่ในสภาพธรรม "เห็น" เลย เพราะเห็นเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ความเข้าใจ ก็จะต้องค่อยๆ มั่นคงขึ้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...