ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มูลนิธิฯ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อันเนื่องมาจากการสนทนาธรรม ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
เมื่อช่วงเช้าของวันอาทิตย์ ที่ ๒๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา
ในชั่วโมงของการสนทนา พื้นฐานพระอภิธรรม
มีท่านผู้เข้าร่วมสนทนา ได้กราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ถึงเหตุการณ์จริงในชีวิต ที่ได้ประสบพบเจอในชีวิตประจำวันของท่าน
กล่าวคือ ท่านเป็นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
ที่มีประชาชนและหน่วยงานราชการในอำเภอที่ท่านอาศัยอยู่ ให้ความเคารพนับถือ
และท่านได้รับเชิญจากท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจำอำเภอ ที่ท่านอาศัยอยู่ดังกล่าว
เพื่อไปฟังการเทศน์มหาชาติโดยพระภิกษุ ที่ทางโรงพยาบาลได้อาราธนามาแสดง
เมื่อท่านไปร่วมงานนั้น ก็ได้พบถึงความไม่เหมาะสมสำหรับเพศบรรพชิต หลายประการ
จึงได้กราบเรียนขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ว่า สมควรหรือไม่ ประการใด?
ที่ท่านจะได้เล่าเรื่องความไม่เหมาะ ไม่ควร ของบรรพชิตดังกล่าวนั้น
เพื่อกราบเรียนขอความเข้าใจที่ถูกต้องจากท่านอาจารย์ ในที่สนทนาธรรมนี้
ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวอนุโมทนา และ อนุญาตให้ท่านผู้ร่วมสนทนา
ได้เล่าเรื่องดังกล่าว ให้ทุกท่านในที่สนทนาในวันนั้น ได้รับฟัง
และท่านอาจารย์ก็ได้เมตตาให้ความเข้าใจ ในตอนท้าย
ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่า เป็นการสนทนาที่ควรจะได้นำมาเผยแพร่ให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณา
อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่พระศาสนา ควรที่พุทธศาสนิกชนจะให้ความสนใจ ใส่ใจ
เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงตามพระธรรมที่ได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้
อนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นว่า ในระยะนี้ ท่านอาจารย์ได้กล่าว วลีหนึ่ง ที่คุ้นหูทุกท่านบ่อยๆ ว่า
"เกรงใจอกุศล"
กล่าวคือ ไม่ควรเลย ที่บุคคล จะเกรงใจในอกุศล
ซึ่งเป็นวลีที่มีความหมายลึกซึ้ง กว้างขวาง หลากหลายนัย ที่ควรแก่การพิจารณา
ประกอบกับการสนทนา ที่ได้นำมาปรารภข้างต้น เป็นตัวอย่างที่สำคัญอันหนึ่ง
ที่ผู้ที่ได้ชื่อว่า พุทธศาสนิกชน ควรที่จะได้ตระหนัก คำนึงถึง และให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
ในความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงตามพระธรรม ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง
ในความเข้าใจของข้าพเจ้า อาจจะถึงกาล ที่พระศาสนา จะได้รับการแก้ไข
ได้รับการใส่ใจ ในความเข้าใจผิดเดิมๆ ทั้งหลายที่มีมา ที่สะสมมาเนิ่นนาน
ซึ่งได้เบียดเบียนพระธรรมคำสอน ให้อันตรธานไปจากความเข้าใจ
ให้กลับมาสู่ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริงที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง
ไม่ใช่มุ่งไปทำสิ่งใด ด้วยความไม่รู้ ด้วยความเห็นผิด ด้วยการปฏิบัติผิด ด้วยการคิดเอง
แล้วกล่าวตู่ ว่าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งได้แพร่ขยายไปในวงกว้าง เป็นอันตรายอย่างยิ่งแก่สาธารณชนที่เรียกตนเองว่าชาวพุทธ
เสียงของพระธรรมที่ถูกต้อง แท้จริง อาจจะถึงวาระที่รุ่งเรือง เฟื่องฟูขึ้นอีกครั้ง
ด้วยความอาจหาญ ด้วยกุศลเจตนา ของผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรม ที่ร่วมใจกันแก้ไข
ข้าพเจ้าจึงขออนุญาต คัดบทสนทนาดังกล่าว มาเพื่อทุกๆ ท่าน ได้พิจารณาร่วมกันดังนี้
คุณปริญญา ขอกราบพระคุณเจ้า ขอกราบท่านอาจารย์สุจินต์
ขอกราบท่านอาจารย์วิทยากร และผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน
วันนี้ ผมขอมาร่วมสนทนา ในสิ่งที่ได้พบ ได้เห็นมาเมื่อวันศุกร์นี้
คือ การที่ได้ไปฟังเทศน์มหาชาติ เกี่ยวกับชาดก ซึ่งในชีวิต ไม่เคยได้ฟังเลย
แต่พอได้รับฟังแล้ว ก็มีความติดข้อง ไม่สบายใจ
แล้วก็คิดว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนา จะถดถอยลง
แล้วก็จะทำให้การเลื่อมใส หรือศรัทธา หรือสิ่งที่ถูกต้อง
เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ถูกบิดเบือนไป
เพราะฉะนั้น ประเด็นการสนทนานี้ แล้วแต่ท่านอาจารย์จะกรุณาให้นำขึ้นมาหรือไม่?
แต่ก่อนที่จะให้ท่านอาจารย์มีความเมตตา
การศึกษาธรรมะของกระผม ก็ศึกษาที่นี่มา ประมาณ ๓ ปีกว่า
จากเบื้องต้น ไม่รู้เลย ว่าธรรมะ คือ อะไร
จากนั้นก็ค่อยๆ ศึกษากับท่านอาจารย์ และฟังพระธรรมคำสั่งสอนมาเรื่อยๆ ตลอดเวลา
จนกระทั่งบัดนี้ เริ่มมีความเข้าใจบ้าง ว่าธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงให้ศึกษาได้ ในชีวิตประจำวัน
แต่ว่า เมื่อศึกษาไปและมีความเข้าใจบ้างแล้ว ก็เกิดมีความมุ่งมั่นว่า
อยากจะนำความเข้าใจอ้นนี้ ไปช่วยสอนชาวบ้านที่ต่างจังหวัด ที่กระผมอยู่
เพราะว่าชาวบ้าน ไม่ได้รู้เลยว่า ธรรมะ คือ อะไร?
แล้วก็ประพฤติ ปฏิบัติกันในทางที่ผิด
ถ้าท่านอาจารย์จะมีความเมตตา ให้ผมนำเรื่องของสิ่งที่ได้พบ ได้ยิน ได้เห็น เมื่อวันศุกร์
ในขณะที่ไปฟังเทศน์มหาชาตินั้น มาเล่าให้ท่านอาจารย์ฟัง
ก็แล้วแต่ท่านอาจารย์จะเห็นสมควร ครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็ต้องขออนุโมทนา ในหน้าที่ของชาวพุทธ ซึ่งต้องศึกษา
เพราะเหตุว่า เมื่อเราได้นับถือในพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ถ้าเราไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจพระธรรมคำสอน ก็ชื่อว่า เราไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าชาวพุทธทั้งหมด ยังเป็นอย่างนี้ พระศาสนา ก็อันตรธาน
เพราะฉะนั้น ก็ขออนุโมทนาคุณปริญญา
เมื่อมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับชาวพุทธ สหายธรรมทั้งหลาย
หรือผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาด้วยกัน
ก็ควรที่จะวินิจฉัย หรือว่า กล่าวถึง
หรือว่า สามารถที่จะทำให้พระศาสนา เป็นที่เข้าใจถูกต้องขึ้น ก็สมควร
ด้วยความอาจหาญ
เพราะเหตุว่า ทุกอย่างที่ทำ ไม่ใช่เพื่อเราจะมีชื่อเสียง หรือเราจะเป็นที่รัก
แต่ เพื่อความถูกต้อง และ เพื่อดำรงไว้ ซึ่งความจริง
โดยที่ว่า ไม่หวั่นไหวเลย ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เพราะว่า เราเป็นผู้ที่มีเจตนาที่เป็นกุศล แล้วก็มีความเคารพในพระศาสดา
เพราะฉะนั้น ไม่เห็นด้วยกับการที่ บุคคลหนึ่ง บุคคลใด จะไม่ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด
แล้วก็กล่าวสิ่งซึ่ง ไม่เป็นไปตามคำสอน
ตู่ว่าขณะนั้น เป็นคำสอน
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะได้ยิน ได้ฟังอะไรมา
กุศลจิต ที่ปรารถนา ที่จะให้คน ได้เข้าใจถูกต้อง ก็จะทำให้เราไม่หวั่นไหว
พร้อมที่จะช่วยกัน ทำให้มีความเข้าใจถูกต้องขึ้น ถ้าสามารถจะกระทำได้
ก็ขอเชิญคุณปริญญาเล่าค่ะ
คุณปริญญา ครับ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ ก็คือว่า เมื่อวันพุธที่แล้ว
ผมก็ได้รับเชิญไปฟังเทศน์มหาชาติ ซึ่งพอได้รับคำเชิญ ผมก็รู้สึกมีความยินดี
เพราะว่า ในชีวิต ไม่เคยได้รับฟัง
พอไปถึงที่สถานที่เทศน์ คือ เป็นโรงพยาบาลในต่างจังหวัด ซึ่งผมพักอาศัยอยู่
เขาก็ให้ผมไปนั่งคู่กับท่านนายอำเภอที่มาใหม่ ซึ่งท่านย้ายมาประมาณ ๗ เดือน
ก็บอกท่านว่า ดีจังครับ ที่ท่านสนใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วมาฟังธรรมที่นี่
ก็ได้สอบถามท่านว่า ท่านได้ศึกษาอยู่ที่ไหนบ้าง?
ท่านบอก ท่านไม่ได้ศึกษาเลยครับ
ได้แนะนำตัวกระผมเอง แล้วบอกว่าผมเพิ่งศึกษาธรรมจากพระไตรปิฎกมาประมาณ ๓ ปีกว่า
มีความประสงค์ว่า หลังจากที่ศึกษาพอเข้าใจบ้างแล้ว
ก็อยากจะนำธรรมะ คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ มาช่วยสอนชาวบ้าน ในหมู่บ้านของผม
แล้วก็บอกท่านนายอำเภอว่า ถ้าท่านยินดีที่จะให้ผมช่วยเหลือ หรือว่ายินดีที่จะไปสนทนากัน
เรื่องของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมก็ยินดีที่จะไปพบท่าน
จากนั้น พระภิกษุ ก็เริ่มมีการเทศน์ ๒ ธรรมาสน์
การเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ของพระภิกษุนี้ ผมก็จะย่นเป็นเรื่องสั้นๆ
หมายถึงว่า การเทศน์ของท่าน เป็นไปในทางตลก เป็นไปในทางไม่ใช่เทศน์
เป็นการแหล่ แล้วก็แหล่เสียงแบบว่า ยาวๆ
คือว่าผมเอง ก่อนที่จะไปฟังเทศน์ ผมก็เข้ามาในเวปไซต์ของมูลนิธิฯ
เพื่อศึกษาดูว่า ลักษณะของการเทศน์ที่ถูกต้อง ควรจะเป็นอย่างไร?
แล้วก็ได้ความรู้บ้างนิดหน่อย
แต่ว่า สิ่งที่ผมเห็น ผมพบ
การกระทำของท่าน เป็นการทำลายพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
เพราะเทศน์ไป ก็ตลกไป เฮฮาไป
สนทนาแบบว่า ท่านไม่ได้มีความระมัดระวัง ในการสั่งสอนชาวบ้านเลย
พอเทศน์กัณฑ์แรก ก็มีการเรี่ยไรแล้ว การเรี่ยไร เขาก็เดินเอาพานมาให้เราบริจาค
แต่ก่อนที่ผมจะออกจากบ้านไป ในซองผมก็บริจาคปัจจัย แต่ในแปัจจัยนั้น
ผมก็บอกไปว่า ปัจจัยนี้ ผมต้องการบริจาคเพื่อเป็นค่ารถ ค่าเดินทางของพระภิกษุ
เพื่อมาโปรด หรือว่า มาเทศน์ เท่านั้น
เพราะพระภิกษุผู้บวชในพระพุทธศาสนา จะต้องเป็นผู้ที่ละ
แล้วที่ผมเขียนนี้ ใครก็ตามที่ได้รับเงินนี้ จะได้ทำตามเจตนารมน์ อย่างที่ผมต้องการ
จากนั้น ท่านก็มีการสอน เขาเรียกอะไร? อาจจะใช้คำไม่ถูก
แต่ว่า สองธรรมาสน์ แล้วก็มี ๑๓ ชาดก
หลังจากนั้น ชาดกที่ ๒ ที่ ๓ ก็มีการเรี่ยไรอีก คนมาเรี่ยไรอีก จนชาดกที่ ๕ ก็ยังมีการเรี่ยไร
ในชาดกที่ ๔ ผมก็ถามว่า ทั้งหมดนี้ เอาเงินไปที่ไหน?
เขาก็บอกว่า เป็นการถวายปัจจัย ให้แก่การเทศน์
ผมก็เอากระดาษที่ผมโน๊ตไว้ เกี่ยวกับเรื่องการทำบุญ ให้ท่านนายอำเภออ่าน
ว่า พระบวชเพื่อละ ไม่ใช่บวชเพื่อจะต้องการเงินกัณฑ์เทศน์มากๆ
ท่านก็อ่านดู แต่ว่าท่านก็ไม่ได้พูดอะไร
จนในที่สุด พอจบกัณฑ์เทศน์ จบเทศน์หมดก็เป็นห้ารอบไปแล้ว ที่มีการเรี่ยไร
คราวนี้ พระองค์หนึ่งที่อยู่บนธรรมาสน์ ก็เอ่ยชื่อผมขึ้นมา เอ่ยชื่อนายอำเภอขึ้นมา
เอ่ยชื่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลขึ้นมา แล้วก็บอกว่า
ถึงเวลาแล้ว ที่ท่านจะต้องมาติดกัณฑ์เทศน์
ผมก็นั่งเฉย ทุกคนก็นั่งเฉยๆ แล้วท่านก็บอกว่า ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริง ก็มาติดกัณฑ์เทศน์
ผมก็นั่งเฉยๆ อีก แต่ว่า จุดนี้ โทสะเกิด โทสะเกิดขึ้นเล็กน้อย
รู้ว่าขณะนั้นมีความไม่พอใจ ในการกระทำของท่าน
ผมเกือบจะลุกขึ้นไป แต่มีคนห้าม
ถ้าผมได้ลุกขึ้นไป ผมก็จะบอกว่า ท่านกำลังทำลายพระพุทธศาสนา
การบวชของท่าน ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชนเลย
แต่เพราะว่า ไมค์ก็มีอยู่ที่พระ ๒ องค์ กระผมไม่มีไมค์
และการลุกขึ้นไปในที่นั้น ก็คงไม่สมควรเท่าไหร่
ก่อนจบรายการ เขาก็ประกาศว่า ให้ผมเป็นประธานชมรมผู้สูงอายุของที่อำเภอของผม
ผมก็คิดว่า จากนี้ไป จะนำเรื่องไปนำเสนอกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล
บอกว่าท่านที่นำพระภิกษุมาเทศน์นี้ เป็นการไม่สมควร ไม่ใช่ไม่สมควร
พระท่านมาเทศน์ แต่ว่า ไม่ได้ทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา
ท่านกำลังทำลายพระพุทธศาสนา
และพร้อมกันนี้ ผมก็จะไปพูดกับนายอำเภอเช่นเดียวกัน
ผมก็เลยมากราบเรียนกับท่านอาจารย์ ครับ
ท่านอาจารย์ ฟังแล้ว เป็นอย่างไรคะ?
ไม่เหมือนเหตุการณ์ ณ พระวิหารเชตวัน พระวิหารโกสัมพี
หรือที่หนึ่งที่ใดเลย ในครั้งพุทธกาล
เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่า
สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะขาดการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ชาวพุทธส่วนใหญ่ เข้าใจว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ
แต่เมื่อไม่ได้ศึกษา
เพราะฉะนั้น ก็เป็นอย่างนี้แหละ
คือ
ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น
ไม่รู้ แม้แต่ว่า
คำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา
เพื่อให้คนฟัง เกิดความเข้าใจถูก เกิดความเห็นถูก
ไม่ว่าจะเป็นเทศน์มหาชาติ หรือเทศน์ใดๆ ทั้งสิ้น
ประโยชน์ก็คือว่า
เพื่อให้คนฟัง เข้าใจธรรมะ แล้วก็ มีความเห็นที่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ก็ไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แน่นอน
แต่ว่า เราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงคน ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะให้เข้าใจ ได้ไหม?
ถ้าเขาไม่สนใจ ที่จะศึกษาพระธรรม
เพราะฉะนั้น กล่าวได้เลย เขาไม่ฟัง เขาไม่เห็นด้วย
แล้วเขาไม่เห็นประโยชน์ของการศึกษาพระศาสนา
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล
ที่รู้ว่า อนัตตา คือ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
เพราะ ความไม่รู้ กล่าวได้เลย
ทั้งหมด ที่ประพฤติกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
ก็เพราะ ความไม่รู้
เพราะฉะนั้น เมื่อความไม่รู้ ทำให้เป็นอย่างนี้
ก็เป็นหน้าที่ของชาวพุทธ
ที่คงจะได้เคยมีโอกาส ได้ฟังพระธรรม ณ พระวิหารเชตวัน
หรือว่าที่ไหนก็ตาม ในครั้งโน้น ที่สามารถที่จะเข้าใจถูก
ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก สัตตูปการคุณ
มิฉะนั้น ก็ไม่สมกับการที่ได้ทรงบำเพ็ญ ที่จะเป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าไม่ได้อนุเคราะห์ใคร
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ได้มีการเข้าใจถูกในครั้งนั้น ก็ยังสามารถที่จะเข้าใจว่า อะไรถูก อะไรผิด
และ อะไรควร
เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็เป็นผู้ที่มั่นคง
พร้อมที่จะเกื้อกูล คนที่สามารถเกื้อกูลได้
แต่ถ้าไม่สามารถที่จะเกื้อกูลได้ ก็เสียเวลาเปล่า คือ ทำสิ่งซึ่งไร้ประโยชน์
เพราะว่า ถึงแม้ว่าจะมีความหวังดีสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม
และ การศึกษาพระธรรม จะเห็นได้ว่า ไม่มีทางที่จะไปเปลี่ยนใครได้เลย
ได้ยินเสียงพระธรรม ก็ไม่ฟัง ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสได้ยิน
ได้ยินอยู่ ก็ไม่ฟัง
เพราะฉะนั้น การที่แต่ละบุคคล คือ แต่ละธาตุ ซึ่งเกิดมา
ธาตุดิน ก็ต้องเป็น ธาตุดิน จะเป็นธาตุน้ำ ไม่ได้
ธาตุโลภะ ก็ต้องเป็น ธาตุโลภะ ธาตุโมหะ ก็ต้องเป็น ธาตุโมหะ
ใครจะไปเปลี่ยนแปลงธาตุทั้งหลายได้
ในสมัยพุทธกาล มีพวกเดียรถีย์ คือ นับถือครูบาอาจารย์อื่น มาก
แต่พระผู้มีพระภาคฯ ก็ไม่ได้เสด็จไปทรงแสดงธรรม กับบุคคลเหล่านั้น
แต่ ไม่ว่าใครที่ไหน สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมได้
ทรงพระมหากรุณา เสด็จไป แม้แสนไกล......
เพื่อ ความเข้าใจ ของคนนั้น
เพียงคนเดียว
แสดงให้เห็นว่า ถ้าพระองค์ไม่เสด็จไป
เขาไม่มีโอกาสที่จะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเลย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเข้าใจในความเป็นอนัตตา
และในการที่ ยาก ที่ใครสามารถไปเปลี่ยนแปลง ธาตุ ซึ่งไม่ใช่ใครเลย
แต่เป็น ธาตุ ที่สะสมมาอย่างนั้น
ที่จะเห็นอย่างนั้น
แม้แต่จะเห็นผิด ก็ไปกลับความเห็นไม่ได้
กล่าวว่าเป็นชาวพุทธ แต่ว่าไม่ได้ศึกษาธรรมะเลย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ศึกษา ก็รู้ว่า
ถ้าเป็นชาวพุทธ มีความเคารพในพระศาสดา ก็ต้องศึกษาพระธรรม ที่ทรงแสดง
ไม่ใช่ "คิดเอง"
ไม่ใช่ "กล่าวเอง"
แล้ว "อ้าง" ว่านี่ เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ ต้องศึกษา โดยความเคารพอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น ก็ไม่เดือดร้อนใจ กับธาตุทั้งหลาย
ซึ่ง ใครก็ยับยั้งไม่ได้ ที่จะให้เป็นอย่างนั้น
แต่ว่า สำหรับผู้ที่มีบุญ ที่ได้สะสมแล้ว แต่ปางก่อน
ซึ่ง ขณะเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เป็นบุญแต่ปางก่อน สำหรับชาติหน้า
ที่สามารถจะมีโอกาส ได้ยิน ได้ฟัง
แล้วก็ได้ "เข้าใจธรรมะ" ต่อไป
"...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พรหมจรรย์นี้ ภิกษุ ไม่อยู่ประพฤติเพื่อจะหลอกลวงชน
ไม่อยู่ประพฤติ เพื่อประจบคน
ไม่อยู่ประพฤติเพื่ออานิสงส์ คือ ลาภ สักการะ ความสรรเสริญไม่อยู่ประพฤติด้วยคิดว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการอย่างนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่แท้พรหมจรรย์นี้
ภิกษุย่อมอยู่ประพฤติเพื่อการสำรวม และเพื่อการละ..."
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ทั้งภาพและธรรม งดงามอย่างยิ่ง ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งามเป็นอย่างยิ่ง
ที่ถ่ายทอดความงามของพระธรรม พร้อมภาพอันสวยงาม ครับ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ใหญ่ราชบุรี-ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี
ขออนุโมทนากับพี่วันชัย และขออนุญาตCopy ภาพและเนื้อหาสาระทั้งหมดนะคะ
เพราะเป็นวันสำคัญที่ต้องจดจำอีกวันหนึ่ง ที่ได้พาคุณพ่อไปฟังธรรมเป็นครั้งแรก
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน มา ณ. ที่นี้ค่ะ