ธรรมะมิใช่อยู่ในตำรา หรือศึกษาเพื่อประดับความรู้
ชีวิตประจำวันแต่ละขณะ มีสภาพธรรมะปรากฏให้ทดสอบความเข้าใจ จากการที่ฟังมาหลายปีอยู่ ต้องอาจหาญ ร่าเริง ตรงต่อธรรมะที่ปรากฏขณะนั้นๆ เผชิญหน้ากับความจริงหรือธรรมะ แต่ดูจะเป็นเรื่องราวไป ขั้นการฟังก็คือขั้นการเข้าใจเร่ืองราวเกี่ยวกับธรรมะ ธรรมะมีจริงเป็นสัทธรรมของผู้ที่บำเพ็ญบารมีมาสี่องสงไขยแสนกัปป์ บารมีคือคุณงามความดีทั้งหลาย ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐาน เมตตา อุเบกขา ท่านอาจารย์กล่าวว่าหากท่านไม่มีลาภ ท่านก็ไม่หวั่นไหว แต่ท่านขอมีปัญญา เพราะปัญญาจะไม่ให้ใครมาหลอกเราได้ กราบอนุโมทนาในความอาจหาญของท่านด้วยความเคารพยิ่ง ชาวโลก online ทั้งหลายกำลังถูกหลอก เช่น post ภาพที่น่าสงสาร ท่านนั้นท่านนี้ประสบปัญหา ลูกป่วย แม่จนเป็นอัมพาต สารพัดปัญหา นี่แหละจะทำให้เราตรึกสภาพธรรมะที่ปรากฏ แท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรเลย มีแต่ความคิด
กราบขอความกรุณาท่านอาจารย์ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกสิ่งไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง คือ สภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน และ ขณะที่เห็นสิ่งต่างๆ ที่สมมติว่าเป็นเรื่องราวก็เพราะอาศัยสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งโดยมากของปุถุชนก็ยังเป็นปกติที่เกิดอกุศลโดยมากเป็นธรรมดา ที่ยังยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เกิดโลภะ โทสะได้ เป็นปกติ หนทางการรู้ความจริง จึงอยู่กับการหลอกลวงด้วยอกุศล ด้วยการเข้าใจว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เราที่ถูกหลอกลวง แต่มีเพียงอกุศลที่เป็นไป ที่เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา ดังนั้น กิเลสที่ต้องละเป็นอันดับแรก จึงเป็น ความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคลที่เป็นความเห็นผิด ครับ
ดังนั้น ชีวิตประจำวัน ก็เป็นปกติอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงที่จะไปบังคับ แต่ อยู่กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นด้วยความเข้าใจ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา โดยการอบรมเหตุที่สำคัญ คือ การฟัง ศึกษาพระธรรมในทางที่ถูกต้องในขั้นการฟังว่าเป็นแต่เพียงธรรมไปเรื่อยๆ ย่อมรู้ความจริงที่เป็นปกติในขณะนี้ แม้อกุศลที่เกิดขึ้นหลอกลวง ก็เข้าใจถูกว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ค่อยๆ ละอวิชชา ความยึดถือว่ามีสัตว์ บุคคล จนถึงการดับกิเลสได้ในที่สุด ครับ
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ดังนี้ ครับ
ธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือ
ถาม ...
สุ. เป็นเรื่องนี่ค่ะ ไม่ได้เป็นตัวพระธรรม ธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือ ขณะนี้ทางตาที่กำลังเห็นเป็นธรรม สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็เป็นธรรม ทีนี้ถ้าเราคิดเรื่องธรรม เช่น สภาพธรรมที่รู้เป็นจิต หรือธรรมมี ๒ อย่าง คือ โลกียะกับโลกุตตระ นั่นเป็นจิตที่คิดคิด แต่เรื่องเป็นเรื่องราว ไม่ใช่ตัวโลกียะหรือโลกุตตระกำลังเป็นอารมณ์ของจิตในขณะนั้น
อย่างเราบอกว่า “นิพพานมีจริง” เราพูดคำนี้ “นิพพานมีจริง” จิตที่คิดคำว่า “นิพ” จิตที่คิดคำว่า “พาน” จิตที่คิดคำว่า “มี” จิตที่คิดคำว่า “จริง” โต๊ะเก้าอี้คิดไม่ได้เลย ใช่ไหมคะ แต่คนคือสภาพที่เป็นจิต สามารถคิด ขณะที่คิดคำว่า “นิพ” นิพอยู่ที่ไหน นิพไม่มี “พาน” พานอยู่ที่ไหน พานก็ไม่มี แต่จิตคิดคำว่า “นิพ” ได้ จิตคิดคำว่า “พาน” ได้ เพราะฉะนั้นนิพพานเป็นแต่เพียงคำ เป็นเรื่องราว ไม่ใช่ลักษณะของนิพพานจริงๆ ซึ่งโลกุตตรจิตกำลังประจักษ์แจ้ง
นิพพานเป็นปรมัตถธรรม แต่คำว่า “นิพพาน” ไม่ใช่ปรมัตถธรรม คำว่า “นิพพาน” เป็นเพียงแต่ชื่อ หรือคำที่ใช้แทนสภาพธรรมนั้น ในเมื่อสภาพธรรมนั้นไม่ได้ปรากฏ
ถาม ส่วนมากที่เราจะคิดได้ก็เป็นจากสัญญา ถูกไหมคะ
สุ. แน่นอนค่ะ ในขณะที่กำลังมี อย่างเสียง จริงขณะไหน ขณะที่กำลังได้ยิน พอเสียงหมดแล้ว ได้ยินหมดแล้ว แล้วเราจะบอกว่า จริงได้อย่างไร ในเมื่อหมดแล้ว สภาพที่คิดมีจริงๆ แต่เรื่องราวที่คิดไม่จริง
ถาม ขณะนั้นใช่ไหมคะ
สุ. ขณะที่กำลังคิด จิตคิดมีจริง การคิดมีจริง แต่เรื่องราวที่คิดไม่มีจริง คิดถึงพัดลมก็ได้ คิดถึงพิมพ์ดีดก็ได้ คิดถึงแจกันก็ได้ คิดถึงดอกกุหลาบก็ได้ เป็นเพียงคิดถึง ไม่ใช่ปรากฏจริงๆ แต่สิ่งที่จริง คือ ขณะนั้นจิตกำลังคิด สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริง แล้วเราคิดถึงรูปร่าง
เพราะฉะนั้นในพระพุทธศาสนาแยกละเอียดมาก ย่อยเหตุการณ์ทั้งเหตุการณ์ออกไปเป็นชั่วจิตทีละขณะเดียว ลองคิดดูว่า จิตทีละขณะหนึ่งเร็วกว่าเสี้ยววินาทีสักแค่ไหน ที่แบ่งจากชั่วโมง เป็นนาที เป็นวินาที เราแบ่งได้ แล้วเราก็ยังสามารถแบ่งละเอียดออกไปเป็นเสี้ยววินาที แต่จิตก็เกิดดับเร็วยิ่งกว่านั้น มากกว่านั้น
เพราะฉะนั้นจากทางตาที่เห็น เราจะจำทันทีว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร อยู่ในความทรงจำของเราเหมือนเห็นน้ำไหล เห็นเก้าอี้ เห็นคน แต่ความจริงขณะนั้นให้ทราบว่าเห็นไม่ใช่คิด
นี่เป็นสิ่งที่จะต้องแยกออกว่า เห็นนั้นกำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา สั้นมาก เร็วมาก หลังจากนั้นแล้วจะจำลักษณะ สีสันต่างๆ ที่เห็น แล้วก็คิดทันทีว่า เป็นคนนั้นคนนี้ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเห็นเป็นเก้าอี้ ขณะนั้นคือคิดถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏทางตา
นี่กำลังจะแยกชีวิตในวันหนึ่งๆ ซึ่งเป็นเรา ออกให้เห็นว่า รวดเร็วมาก แล้วจิตแต่ละขณะก็เกิดขึ้นทำกิจการงานแต่ละอย่าง
ถาม ยาก
สุ. ยากค่ะ เรื่องพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องยาก ใครอย่าคิดว่าเป็นเรื่องง่าย ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ แล้วต้องทราบด้วยว่า คนที่จะอดทนฟังให้เข้าใจ จนกระทั่งเป็นปัญญาของตนเองนั้นไม่มีมาก จำนวนน้อยทีเดียว อย่างคนที่ประเทศอินเดียสมัยที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานก็มีเป็นจำนวนมาก แต่คนที่ฟังพระธรรมมีจำนวนเท่าไร แม้ว่าจะมากมายกว่าในสมัยนี้ เพราะเหตุว่าเมื่อได้ฟังแล้วก็สามารถรู้แจ้งเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงขึ้นไปถึงขั้นพระอรหันต์ มีมากกว่าในครั้งนี้มากมายนัก แต่ถ้าเทียบจำนวนของคนทั้งหมด ก็ยังเป็นส่วนที่ไม่มาก
เพราะฉะนั้นยิ่งในยุคนี้สมัยนี้ ถ้าใครไม่เคยสะสมบุญเก่าที่จะเห็นประโยชน์ของปัญญา เห็นประโยชน์ว่าเราเกิดมาแล้ว เราไม่เคยรู้จักตัวเอง ไม่เคยรู้จักโลก มีความยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งๆ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างก็หมดไปทุกขณะ อย่างได้ยินขณะนี้ เป็นเราได้ยิน ก็หมดไปแล้วชั่วขณะหนึ่ง กำลังคิดนึกว่าเป็นเราคิด ลักษณะที่คิดนั้นก็หมดไปอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกอย่างกำลังเกิดดับ หมดไป โดยไม่มีการรู้สึกตัวเลย มีแต่สัญญา ความทรงจำว่า เป็นคน เป็นสัตว์ ปิดบังสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ ทำให้เราไม่สามารถประจักษ์อนัตตา คือ สภาพธรรมที่เป็นธรรม แต่ไม่ใช่ของใคร เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปตลอดเวลา
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ด้วยพระปัญญา เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้พุทธบริษัทซึ่งเป็นผู้ฟังได้รู้แจ้งธรรมตามความเป็นจริงจุดประสงค์ ก็คือ เพื่อให้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นธรรมนั้น ไม่ใช่ว่าอยู่ในตำรา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้อยู่ในตำรา เพราะเหตุว่า ขณะนี้ทางตา ที่กำลังเห็น ก็เป็นธรรม ทางหู ที่กำลังได้ยิน ก็เป็นธรรม ความไม่พอใจ ความโกรธ ก็เป็นธรรม ความติดข้องต้องการ ก็เป็นธรรม ดีใจ เสียใจ เศร้าใจ หดหู่ใจ กลัว ก็เป็นธรรม ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง ที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้อยู่ในตำรานั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องอ่าน ไม่ต้องฟัง ไม่ต้องสอบถาม ไม่ต้องสนทนาธรรมกันเลย ในความเป็นจริงแล้วต้องอาศัยการอ่าน การฟัง การสนทนา การสอบถาม การพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อที่จะช่วยให้เราเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...