ธรรมชาติจิตเป็นธาตุอมตะ ไม่ใช่ของสูญได้ จริงหรือไม่
อ่านเจอในเวบๆ หนึ่ง บันทึกลับของภิกษุรูปหนึ่งไม่ปรากฏชื่อ คัดมาดังนี้
"นิพพานที่ว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง ต้องทราบก่อนว่า ธรรมชาติจิตเป็นธาตุอมตะ ไม่ใช่ ของสูญได้ จิตย่อมเวียนว่ายตายเกิดตามกรรมของตน การที่เราจะเข้าถึงนิพพานที่ เป็นสุขอย่างยิ่งคือ ทำให้จิตไม่ต้องเกิดตายต่อไป เป็นจิตที่สุขอย่างเดียว เหนือ ธรรมชาติของจิตธาตุอมตะธรรมดาขึ้นไปอีก และเป็นจุดสุดยอดที่พระพุทธเจ้าทรง เข้าถึง และเป็นจุดสุดยอดของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่จะเข้าถึงได้โดยง่าย อย่าง ที่คนโดยมากคิดกัน ต้องอาศัยบารมีที่สร้างสมมาหลายภพหลายชาติ เกื้อกูลส่งเสริมด้วย"
ข้อความนี้มีผิดพลาดจากพระไตรปิฎกตรงไหนบ้าง หรือว่าถูกต้องแล้วคะ
คำว่า "ธรรมชาติจิตเป็นธาตุอมตะ" คำนี้ไม่มีในพระไตรปิฎกและอรรถกถา และ ขัดแย้งกับพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะจิตที่เป็นอมตะไม่มี เพราะจิตทุกดวงเกิดดับ แม้โลกุตตรจิตที่รู้แจ้งพระนิพพานก็เกิดดับ จิตเป็นสังขารธรรม เกิดเพราะมีปัจจัย เมื่อเกิดแล้วตั้งอยู่ชั่วขณะแล้วดับไป ธรรมที่เป็นอมตะ หมายถึง พระนิพพาน เท่านั้น เพราะ พระนิพพานไม่เกิด พระนิพพานไม่ดับ แต่จิต เจตสิก รูป เมื่อมีปัจจัยให้เกิดขึ้นย่อมดับไป
[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๔๔ หน้าที่ ๗๑๑
๑. ปฐมนิพพานสูตร
ว่าด้วยอายตนะ คือ นิพพาน
[๑๕๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้น ว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์
จบปฐมนิพพานสูตรที่ ๑
เหตุที่จะให้ถึงพระนิพพาน เราก็ต้องสะสมปัญญา ทาน ศีล ภาวนา และบารมี ๑๐ โดยเฉพาะการอบรมเจริญสติปัฎฐาน