ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๙
- ยอมรับตามความเป็นจริงว่า ยังมีกิเลสมากสำหรับผู้ที่เป็นปุถุชน ตราบใดที่ ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนแล้ว จะให้กิเลสน้อยเป็น สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าจะไม่ทราบ หรือจะไม่รู้เท่านั้นเองว่า เป็นผู้ที่มี กิเลสมาก
- วันหนึ่งๆ ถูกพัดไปมากไหม ความพอใจในรูปที่ปรากฏทางตา ในเสียง ที่ปรากฏทางหู ในกลิ่นที่ปรากฏทางจมูก ในรสที่ปรากฏทางลิ้น ในโผฏฐัพพะ ที่ปรากฏทางกาย ต้องศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียด เรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้
- ถ้าคำสอนใดเป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดสติปัญญา สามารถที่จะรู้ลักษณะ ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏยิ่งขึ้น ถูกต้องยิ่งขึ้น นั่นคือ คำสอนที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่น ให้เชื่ออย่างอื่น ให้เข้าใจ ผิดอย่างอื่น ให้พึ่งอย่างอื่น ให้กระทำอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นั่นไม่ใช่คำสอนของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
- กายก็เป็นธรรม เวทนาก็เป็นธรรม จิตก็เป็นธรรม เสียงก็เป็นธรรม กลิ่น ก็เป็นธรรม สภาพที่มีจริงๆ ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นธรรม เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่จะพ้นจากธรรม
- อนัตตาหมายถึงสภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่ละชนิด สภาพธรรมที่มีจริง ทั้งหมด ทุกชนิด ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เสียงเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วดับไป นั่นคือ “อนัตตา” ความหมายที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะเมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิดเสียงอย่างไร เสียงนั้นก็เกิดขึ้น ข้อความในพระไตรปิฎก ประมวลแล้ว คือ ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา
- ทุกคนหลากหลายเพราะอะไร ไม่เหมือนกันเพราะอะไร พี่น้องกี่คนๆ ก็ไม่เหมือนกัน เพื่อนฝูงหรือชาวโลกไม่ว่าจะประเทศไหน ทวีปไหนก็เป็น แต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย ตามการสะสม ตามเหตุตามปัจจัย บางคนโลภมาก บางคนโกรธมาก บางคนขยันมาก บางคนเมตตามาก ก็แล้วแต่การสะสม ตราบใดที่ยังไม่ละทิ้งความเห็นผิดให้หมดสิ้น และยังไม่อบรมเจริญความ เห็นถูกขึ้น ผู้นั้นก็จะต้องวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ โดยที่ว่าไม่มีกาลกำหนดได้ ว่าเมื่อใดจึงจะพ้น ธรรมไม่เว้นเลยในชีวิตประจำวัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม
- ธรรม หลากหลายมาก เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย ฟังธรรม เพื่อเข้าใจ หรือ เพื่อเราจะได้เข้าใจ? (ฟังธรรม เพื่อเข้าใจ) ธรรม จริง ธรรมที่เป็นกุศลจะไปกล่าวว่าเป็นอกุศล ไม่ได้ ธรรมก็เป็นธรรม กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล
- ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจในเหตุในผล อกุศลเป็นอกุศล เป็นโทษ กุศลเป็นกุศล ไม่เป็นโทษ ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็น้อมไปที่จะละอกุศล และเจริญกุศลยิ่งขึ้น ไม่ใช่ยังเป็นผู้ที่แข็งกระด้าง ว่ายาก ไม่ว่าพระธรรมจะว่า อย่างไร แต่ใจยังต้องการที่จะเป็นอกุศลต่อไปอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะ ไม่ได้รับประโยชน์จากการฟังพระธรรม
- พระธรรมแต่ละคำที่แต่ละคนได้ยินได้ฟังนี้ มาจากการบำเพ็ญพระบารมี นานแสนนานของผู้ที่จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำ คือพระมหากรุณาคุณตั้งแต่ครั้งทรงบำเพ็ญพระบารมีเป็นพระโพธิสัตว์จน กระทั่งได้ทรงตรัสรู้ มีค่ามากสำหรับที่จะทำให้คนอื่นได้มีความเข้าใจจริงๆ
- มีพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะ โดยเชื่อในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และในพระมหากรุณาคุณที่ทรงแสดงธรรม เพราะได้ทรง ตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง นี่เป็นที่พึ่งจริงๆ ที่จะให้พ้นทุกข์ได้จริงๆ โดยที่ปัญญา ค่อยๆ เกิดขึ้นจนสามารถจะเข้าใจในพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง และมี ความมั่นคงในการที่จะประพฤติปฏิบัติตาม นี่จึงจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง การฟังพระธรรมก็เหมือนกับการเกิดใหม่ก็ได้ เพราะเหตุว่าการเกิดก่อน ที่จะได้ฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสจะได้เข้าใจสภาพธรรมเลย ปรมัตถธรรมเป็น อย่างไร ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตาอย่างไร เพราะฉะนั้น แม้ในการที่ได้ฟังพระธรรมก็เหมือนกับเป็นการเกิดใหม่ ที่จะทำให้จิตใจ น้อมไปในทางที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะละคลายอกุศลที่ผิดจากก่อนที่จะ ได้ฟังพระธรรม
- ถ้าคบหาสมาคมคุ้นเคยกับผู้ที่มีความคิดเห็นอย่างไร ก็ย่อมคล้อยตามไปได้ แต่สำหรับบางท่านมีการสะสมมาดี ก็ย่อมจะพิจารณาในเหตุผล และไม่คล้อยตาม ซึ่งก็น่าพิจารณาว่าในโลกนี้ก็มีคนมากมาย และมีทิฏฐิ มีความเห็นต่างๆ กัน ก่อนที่ จะเกิดเป็นความเห็นต่างๆ กัน ก็ย่อมจะมีจิตที่ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณาไปโดย แยบคายบ้าง ไม่แยบคายบ้าง จนในที่สุดการพิจารณาโดยไม่แยบคายก็ย่อม จะเป็นเหตุทำให้เกิดความยึดถือในความเห็น ซึ่งผิดจากเหตุและผลตาม ความเป็นจริง
- พระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ทำให้พ้นจากอกุศล พ้นจากความเดือดร้อน และทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น เมื่อมีความเข้าใจถูก คำพูด ถูก คิดถูก ทำถูก แต่ถ้าเข้าใจผิด คำพูดก็ผิด ทำผิด คิดก็ผิด.
ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๕๘
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
คลิกอ่านกระทู้อื่่นๆ .. ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วย ครับ
@ การที่จะมีเมตตา มีได้ทุกขณะเลย ในขณะที่ไม่รู้สึกโกรธ หรือว่า ไม่รู้สึกขุ่นเคืองใจ เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ที่จะรู้ว่าตัวเองมีเมตตาเพี่มขึ้นหรือไม่ ก็จะสังเกตได้ว่า ขณะใดที่ โกรธ ขณะนั้นไม่มีเมตตา ขณะใดที่ขุ่นเคืองใจ แม้เพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็ไม่มีเมตตา ถ้า รู้ตัวอย่างนี้ ความโกรธก็จะลดลง แล้วเมตตาก็จะเพี่มขึ้น แต่ว่าถ้าจิตใจของเราทุกคนเป็น เพื่อนกับคนอื่น อย่างที่ทราบแล้วก็คือเป็นผู้มีเมตตา แล้วก็ใครคิดที่ จะเจริญเมตตาจริงๆ ก็ไม่ยากเลย คือ ไม่ต้องท่องเลย เพียงแต่ว่าให้ช่วยเหลือคนอื่น เป็นมิตรกับคนอื่น แล้วก็ สังเกตเวลาที่เกิดความขุ่นเคืองใจบุคคลใด ก็แสดงว่าขาดเมตตาต่อบุคคลนั้น
@ เมื่อได้ฟังพระธรรมมามากแล้ว ก็เป็นผู้ที่น้อมประพฤติปฏิบัติตาม โดยเฉพาะในเรื่อง ของเมตตา ถ้าอบรมเจริญแล้ว ก็ไม่ยากเลย ที่จะมีความเป็นมิตรกับทุกคน แล้วก็อภัยให้ ในสี่งซึ่งอาจจะขาดตกบกพร่องของบุคคลอื่น แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีฉันทะ มีความพอใจที่ จะอบรมเจริญเมตตาก็อาจจะขัดหูขัดตาหรือว่าขุ่นเคืองไม่พอใจในสัตว์บุคคลทั้งหลายได้
@ ประโยชน์ของการศึกษา เรื่องปัจจัย เพื่อให้เข้าใจถูกว่า สภาพธรรมหนึ่งเกิดขึ้นเอง ลอยๆ ไม่ได้ ต้องอาศัยสภาพธรรมอื่นเป็นปัจจัย เช่น จิตเห็น ไม่มีใครสามารถบังคับให้ จิตเห็นเกิดขึ้นได้ แต่จิตเห็นเกิดขึ้น เพราะมีปัจจัยมากมายที่ทำให้เกิด เช่น ถ้าไม่มีสิ่งที่ ปรากฏทางตาเป็นปัจจัยโดยเป็นอารมณ์เป็นอารัมณปัจจัย มีจักขุปสาทซึ่งรับกระทบสีเป็น ปัจจัยโดยเป็นวัตถุปุเรชาตปัจจัย เป็นต้น ยังมีปัจจัยอีกมากมายที่ทำให้จิตเห็นเกิด ไม่มี ใครทำให้จิตเห็นเกิดได้เลย จะเห็นความเป็นอนัตตามากขึ้น เพราะฉะนั้นจิตเห็นเกิดเพราะ เหตุปัจจัยไม่ใช่เรา
@ เหตุของทุกข์ คือ การเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่ต้องทุกข์ ทุกข์ที่ได้เกิดมาเห็น ได้ยินและคิด นึกแล้วก็หมดไปทุกภพทุกชาติ เกิดมาไม่รู้ความจริงก็เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดไปเรื่อยๆ มีทุกข์ เพราะมีเกิด ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมจะหมดทุกข์ไม่ได้ ถ้าเราไม่รู้จริง ก็ดับกิเลสไม่ ได้เช่นกัน ฟังธรรมให้เข้าใจ คือ ศึกษาให้เข้าใจความจริงรู้จริงในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ มีความจริงให้เข้าใจได้ อบรมเจริญปัญญา รู้ในลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง จน กว่าปัญญาจะดับกิเลสหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท ไม่ต้องเกิดขึ้นมาเห็นอีก ได้ยินอีก เป็นสุข อย่างยิ่ง
@ จะมีชีวิตต่อไปเพื่อสะสมอวิชชาต่อไปเป็นผู้งมงายโดยพิเศษเป็นผู้งมงายอย่างยิ่งหรือ จะค่อยๆ สะสมความรู้จริง ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ อยู่ด้วยความเข้าใจที่ถูก ต้อง เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ด้วยความละเอียดรอบคอบ พร้อมทั้ง ซักถามจากกัลยาณมิตรผู้มีปัญญาก็จะเป็นเหตุให้ความรู้ความเข้าใจ ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เจริญ ขึ้น ค่อยๆ ละคลายความหลงความไม่รู้ ความงมงาย
@ ขณะนี้เห็นอะไร หากตอบว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ตอบได้เพราะจำได้ ทันทีที่เห็นสิ่ง ที่กำลังปรากฏก็เป็นรูปร่างต่างๆ แล้ว จิตเห็นเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว จึงสืบต่อเป็น นิมิต เป็นรูปนิมิต ซึ่งเป็นนิมิตของปรมัตถธรรม เพราะมีนิมิต จึงมีบัญญัติ สิ่งที่เหลือแต่ละ ทางที่ปรากฏให้เห็นได้จึงเป็นเพียงนิมิต ขณะนี้เห็นอะไร? เห็นเป็นรูปร่าง สัณฐาน เป็น สัตว์ บุคคล สิ่งของ เป็นเรื่องราวต่างๆ ซึ่งไม่มีสภาพที่เป็นจริงเลย หนทางที่จะรู้ความจริง คือ การฟังให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ขณะนี้มีสิ่งที่มีจริงกำลังปรากฏ เห็นมีจริง ขณะนี้เห็น ต้องเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา สะสมความเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏ เริ่มรู้ลักษณะที่เห็น และสิ่งที่กำลังปรากฏ สะสมความเห็นถูก เข้าใจถูก ซึ่งเป็นปัญญา ปัญญารู้ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ความจริงต้องจริงตลอด
@ ขณะนี้มีทรัพย์หรือเปล่า ทรัพย์ที่พระผู้มีพระภาคทรงประทานให้ ให้พ้นจากการเป็น ทาสของกิเลส ให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ทุกขณะที่เกิดขึ้นและดับไปนั้น เป็นเพียงสภาพ ธรรม ไม่ใช่เรา จะมีเราที่ตรงไหน แล้วยังจะมีเยื่อใยในสิ่งที่ดับไปแล้วหรือ อาจหาญร่าเริง ที่จะรู้ความจริงว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไปตามเหตุปัจจัย มีศรัทธาที่ จะฟังความจริง มีศรัทธาที่จะอบรมเจริญกุศลทุกประการ ขั้นทาน ขั้นศีล และกุศลที่ประ เสริฐที่สุดคือ ปัญญา อบรมความเห็นถูกเข้าใจถูกจนกว่าจะรู้ความจริงของสภาพธรรมตรง ตามความเป็นจริง ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย
และ อ. เผดิม ยี่สมบุญ ด้วยครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
- ถ้าคำสอนใดเป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดสติปัญญา สามารถที่จะรู้ลักษณะ ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏยิ่งขึ้น ถูกต้องยิ่งขึ้น นั่นคือ คำสอนที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่น ให้เชื่ออย่างอื่น ให้เข้าใจ ผิดอย่างอื่น ให้พึ่งอย่างอื่น ให้กระทำอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางที่จะทำให้ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นั่นไม่ใช่คำสอนของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ปัญญารู้ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ความจริงต้องจริงตลอด
..กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ..
ขอบพระคุณ สาธุ อนุโมทนา ด้วยความเคารพยิ่ง
จาก ใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย และ อ.เผดิม ยี่สมบุญ
พระธรรมเท่านี้น ที่สามารถ ขัดเกลากิเลส ด้วยการเข้าใจ และประจักษ์ความจริง จนละคลายความติดข้องและความไม่รู้ ทีละเล็กทีละน้อย ก็เบิกบานยิ่ง จึงควรศึกษาพระธรรมให้ถึงที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ