ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ร้านตะลิงปลิง สุขุมวิท ๓๔ วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันศุกร์ ที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ได้รับเชิญจากคุณบำเพ็ญ พลละคร เพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันและสนทนาธรรม
ที่ ร้านอาหารตะลิงปลิง ซอยสุขุมวิท ๓๔ ระหว่างเวลา ๑๑.๐๐ - ๑๔.๐๐ น.
"ตะลิงปลิง"
อยู่ในซอยสุขุมวิท ๓๔ มีพื้นที่จอดรถกว้างขวาง มีการตกแต่งที่สวยงาม
ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย สนามหญ้า สระน้ำและน้ำพุ ดูสะอาดตาอย่างมาก
ภายในก็กว้างขวางและโปร่งสบาย มองเห็นบรรยากาศสวนสวยภายนอกได้ชัดเจน
ทราบว่าท่านเจ้าของร้าน เป็นเพื่อนกับคุณป้าบำเพ็ญ ที่เรียนเชิญท่านอาจารย์มาในวันนี้
คุณป้าบำเพ็ญ พลละคร เป็นภรรยาของคุณเด่นพงษ์ พลละคร ที่เพิ่งเสียชีวิตไปปีก่อน
ท่านทั้งสอง เป็นศิษย์รุ่นแรกๆ ของท่านอาจารย์ ซึ่งท่านเล่าว่า
ท่านเรียนพระอภิธรรมตั้งแต่เริ่มปริเฉทที่ ๑ กับท่านอาจารย์ เมื่อ ๕๐ กว่าปีที่แล้ว
บัดนี้ ท่านมีอายุครบ ๘๗ ปี จึงกราบขอความเมตตาจากท่านอาจารย์
เพื่อมารับประทานอาหารและสนทนาธรรมในวันนี้ โดยมีพี่แอ๊ว ฟองจันทร์ วอลช
เป็นผู้ช่วยประสานงาน ซึ่งการได้สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างสวยงามเรียบร้อยดีมากๆ ครับ
กราบอนุโมทนาท่านทั้งสองมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ
หลายท่านคงจำคุณเด่นพงษ์ สามีของคุณป้าบำเพ็ญได้ สำหรับข้าพเจ้าจำท่านได้ดี
เมื่อครั้งคุณเด่นพงษ์ ยังมีชีวิตอยู่ ทุกท่านจะได้เห็นภาพของคุณเด่นพงษ์
ยืนสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ และ คณะวิทยากร ในทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ที่มูลนิธิฯ
แทบจะทุกครั้งที่ข้าพเจ้าไปมูลนิธิฯ ก็มักจะได้เห็นภาพท่านร่วมสนทนาอยู่เป็นประจำ
อนึ่ง ข้าพเจ้าได้รับฟังมา และขออนุญาตบันทึกไว้ในที่นี้ว่า ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต
ท่านอาจารย์ได้เมตตาไปเยี่ยม และ ท่านได้กล่าวกับท่านอาจารย์ว่า
ถ้าเป็นไปได้ ท่านขอมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหน่อย เพื่อให้ได้มีความเข้าใจพระธรรมมากขึ้น
เป็นความที่เมื่อข้าพเจ้าได้รับฟังแล้ว รู้สึกปลาบปลื้มใจ ในศรัทธาของท่านอย่างยิ่ง
แม้ในขณะนี้ที่กำลังเขียนถึงท่าน ก็รู้สึกปีติในคำกล่าวนั้นเป็นอย่างมาก
เพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึงท่าน จึงขอโอกาสกล่าวถึงท่านสักเล็กน้อย เพื่อบันทึกไว้
โดยขออนุญาตนำประวัติบางส่วน จากเวปของสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย
มาให้ทุกท่านได้รับทราบ ถึงประวัติของครอบครัวหนึ่ง ที่มีศรัทธาที่มั่นคงในพระศาสนา
ศึกษาพระธรรม กับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มาจนตลอดอายุขัยของท่าน
และเพื่อเป็นเกียรติแก่มูลนิธิฯและคุณป้าบำเพ็ญ ในวาระโอกาสสำคัญในวันนี้ด้วย ดังนี้
คุณเด่นพงษ์ พลละคร ท่านเป็นอดีตประธานกรรมการ บริษัท การจัดการธุรกิจ จำกัด
จบการศึกษาปริญญาตรีและโททางรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผ่านการฝึกอบรมด้านการบริหารแรงงาน และงานบริหารบุคคล ในหลายๆ ประเทศ
เช่น อังกฤษ นครเจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ และ ญี่ปุ่น
เคยรับราชการที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ,กระทรวงมหาดไทย , กองแรงงาน
ตำแหน่งสุดท้าย หัวหน้ากองจัดหางาน
งานเอกชน ผู้จัดการฝ่ายบุคคล บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด
ผู้จัดการฝ่ายอุตสาหกรรมสัมพันธ์ บริษัทเชลล์แห่งสิงคโปร์
ผู้ร่วมก่อตั้งสมาคมจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย ,ร่วมก่อตั้งกรมแรงงาน ,
ร่วมก่อตั้งสมาคมสมาคมจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย เป็นต้น
ตลอดสังสารวัฏฏ์อันยาวนานนี้ บุคคลย่อมเป็นผู้ที่เคยได้เกิดมาแล้ว ในสถานะต่างๆ
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงแสดงถึงอดีตของพระองค์ในพระชาติต่างๆ มากมาย
มีทั้งในพระชาติที่พระโพธิสัตว์ถือกำเนิดเป็นช้าง เป็นลิง เป็นกษัตริย์มหาศาล
เป็นบุคคลธรรมดา เป็นคนยากไร้เข็ญใจ เป็นเทพบุตรในสวรรค์ เป็นต้น
ทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าบุคคลจะได้เกิดเป็นอะไร
ย่อมเป็นไปตามกรรมหนึ่ง ที่ได้เคยทำไว้ ดังที่ทรงแสดง
ผลของกุศลกรรม ย่อมนำเกิดในสุคติภูมิ คือในมนุษย์ ในสวรรค์ชั้นต่างๆ
ผลของอกุศลกรรม ย่อมนำเกิดทุคติภูมิ ในนรก ในสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย เป็นต้น
ทั้งหลายเหล่านี้ ประโยชน์ที่สำคัญที่สุด ที่ควรพิจารณาอย่างยิ่งสำหรับทุกบุคคล
ที่ได้เกิดมาในแต่ละชาติ ในสถานะต่างๆ ทั้งหลายเหล่านั้น คือ อะไร?
ผู้ที่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนเท่านั้น ที่จะพึงทราบได้ว่า ประโยชน์อันสำคัญยิ่ง
ก็คือ การได้มีโอกาสเกิดในกาลสมัย ที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติ เพื่อที่จะได้ฟัง ได้ศึกษา
และ เข้าใจพระธรรม คำสอน เพื่อสะสมอบรมเจริญปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก
ในความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้
ด้วยว่า ปัญญา ความเข้าใจ นี้เท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งอันอุดม แก่บุคคล
สำหรับการเดินทางอันยาวไกลในสังสารวัฏฏ์ อันกันดารและยากลำบาก
หาใช่ทรัพย์สมบัติใดทั้งสิ้น ที่ไม่สามารถที่จะติดตามไปได้เลย แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
ทรัพย์ คือ ปัญญา และ กัลยาณมิตร เท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่อื่นเลย
อนึ่ง พระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง
เป็นไปเพื่อการ "ละ" โดยประการทั้งสิ้น โดยประการทั้งปวง
กล่าวคือ เมื่อได้รู้ ได้เข้าใจ ก็เป็นการละความไม่รู้ ไม่เข้าใจ (อวิชชา) แล้ว ในขณะนั้น
และเมื่อเข้าใจขึ้น ในสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ทุกๆ ขณะ ว่าไม่ใช่เรา
เป็นแต่ธรรมะ ที่เกิดขึ้น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ย่อมเป็นผู้ที่ละคลายออก จากความยึดมั่นสำคัญหมาย ว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ บุคคล
ด้วยปัญญาคือความเข้าใจ ที่สะสม อบรมไป ทีละเล็ก ทีละน้อย ด้วยการฟังพระธรรม
ฟังในสิ่งที่ถูกต้อง ตรงตามที่พระสัมมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง
ความเข้าใจความจริงนี้เท่านั้น ที่จะนำบุคคล น้อมไปสู่กุศลธรรม ความดีทุกๆ ประการ
เป็นความดีที่น้อมไปสู่การละคลายออก จากความติดข้อง ในลาภ ในยศ ในชื่อเสียง
ในสักการะ ในความยึดมั่น ในอัตตา ตัวตน ในอกุศลธรรมประการต่างๆ ทั้งสิ้น
จากความเข้าใจและมั่นคงขึ้น ในกรรมและผลของกรรม
และ มั่นคงขึ้นว่าทุกสิ่งที่เกิดและปรากฏอยู่ในทุกๆ ขณะนี้
"เป็นแต่ธรรม ไม่ใช่เรา"
วันนี้คุณป้าบำเพ็ญ พลละคร ในวัย ๘๗ ปี ยืนรอต้อนรับท่านอาจารย์และสหายธรรม
ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส สดชื่นมาก ท่านเป็นคนมีเมตตา มีอารมณ์ขัน คุยสนุก
ข้าพเจ้ารู้สึกขอบพระคุณท่านเจ้าภาพ แทนทุกๆ ท่าน ที่มีกุศลเจตนาที่น่าอนุโมทนายิ่ง
ที่จะแบ่งปันให้ทุกๆ ท่าน ในเวปไซต์บ้านธัมมะนี้ ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมร่วมกันกับท่าน
ด้วยการอนุญาตให้บันทึกภาพและวีดีโอ ในวาระการสนทนาส่วนตัวนี้ เพื่อการเผยแพร่ได้
ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก จึงขอนำความการสนทนาบางตอนในวาระสำคัญนี้
อันเป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ของคุณป้าบำเพ็ญ พลละคร ศิษย์รุ่นแรกๆ ของท่านอาจารย์
ในวาระครบอายุ ๘๗ ปี มาให้ทุกๆ ท่าน ได้ร่วมกันพิจารณาด้วย ดังนี้
คุณป้าบำเพ็ญ ในามของคณะศิษย์ของท่านอาจารย์ ณ ที่นี้
ดิฉัน มีความปลาบปลื้มอย่างมาก ที่ท่านอาจารย์ ได้กรุณาสละเวลา
รู้สึกจะเหลือเพียง ๑ วัน ในปีนี้ ให้แก่เรา ที่จะมีเวลาสนทนาธรรม
ในฐานะที่ดิฉัน มีเวลาเหลือน้อยในชีวิต แล้วยังสะสมธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ได้มากพอ ทั้งที่ มีความเข้าใจในระดับหนึ่ง ที่ ก็ดีใจมาก ที่ได้เข้าใจในระดับนี้ ค่ะ
แต่จะพยายามเร่งสตรีมอย่างยิ่งค่ะ (หัวเราะ) เพราะว่า เวลาเหลือน้อยจริงๆ
โอกาสนี้ ดิฉันก็ขอเริ่มสนทนาธรรม ด้วยคำถามแรกว่า
ดิฉันได้ไปเยี่ยมเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ซึ่งรู้อภิธรรม แล้วก็แก่กว่าดิฉันนิดหนึ่ง
ก็คิดดูว่า ใกล้ร้อยเต็มที เธอป่วยมาก ดิฉันจะไม่ขอเอ่ยชื่อ แต่จะเรียนว่า
เป็นครั้งแรก เมื่อไม่กี่วันมานี้ที่ไปเยี่ยมเธอ แล้วเธอบอกว่า เธอได้ "จุลโสดาบัน"
ซึ่งดิฉันก็งง ขอประทานโทษนะคะ ว่ามิบังอาจจะไปวิจารณ์เธอ
แล้วก็มากราบเรียน ท่านอาจารย์ว่า "จุลโสดาบัน" นี้ มีคุณลักษณะอย่างไร?
และ เส้นทางที่จะไปสู่ตรงนั้นค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ คงไม่สำคัญชื่อ นะคะ
ว่าจุลโสดาบัน หรือ ไม่ใช่จุลโสดาบัน
ไม่ใช่สำคัญที่ชื่อ
แต่ว่า "เดี๋ยวนี้" เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า?
เท่านั้นเอง!!!
ถ้าเราไม่ทราบ เราก็งง สงสัยว่า เขาจะเป็นจุลโสดาบันหรือเปล่า?
ใช่ไหม?
เพราะ เราไม่รู้
แต่ถ้าเข้าใจว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังเห็น
พระโสดาบันไม่สงสัยใน "เห็น"
และ ในทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ง่ายที่สุด ที่จะรู้ว่า
ท่านผู้นั้น เป็นจุลโสดาบัน หรือว่า เป็นพระโสดาบัน หรือเปล่า?
ก็คือว่า
ท่านสามารถจะเข้าใจ สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้หรือเปล่า?
เท่านั้นเอง เป็นเบื้องต้น ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย
แล้วก็ เมื่อท่านกล่าวว่ารู้
หนทางที่จะทำให้รู้ คือ อย่างไร?
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงแต่รับฟังนะคะ
ใครก็ตาม ที่หลงเข้าใจผิด
เราก็สามารถที่จะให้เขาพูด ถึงสิ่งที่เขาคิดว่าเขารู้
เพื่อเราจะได้รู้ว่า สิ่งที่ได้ฟัง ถูกต้องไหม? จริงหรือเปล่า?
เดี๋ยวนี้ กำลังเห็น
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า "เห็น" ขณะนี้ ต้องเกิดแน่นอน
และ สิ่งใดที่เกิด สิ่งนั้น ดับแน่นอน
เพราะฉะนั้น "เห็น" เกิดแล้วดับ
นี่ขั้นปริยัติ
ฟัง และ เข้าใจ จนกระทั่ง ไม่สนใจที่จะไปรู้อย่างอื่น
ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ก็ไม่รู้สักที ว่าขณะนี้ เป็นสิ่งที่เกิด แล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้น ถ้ายังคงไม่รู้อยู่ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็เป็นผู้ที่ "คิดเอง"
แต่งตั้งตนเอง อภิเษกตนเอง ว่าฉลาด หรือว่า สามารถจะเป็นถึง จุลโสดาบัน
ไม่ยากใช่ไหม? ที่จะรู้ว่า ใครเป็น และ ใครไม่เป็น?
ไม่ยาก เพราะเพียงแค่
เดี๋ยวนี้ มีอะไรบ้าง? มีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก
แล้วก็เข้าใจ "ลักษณะ" ของ "แต่ละหนึ่ง" ไม่ใช่พร้อมๆ กัน
"แต่ละหนึ่ง" ในขณะที่เกิดด้วย และ ในขณะที่ดับด้วย
ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่มีทางที่จะละ การยึดถือว่าเป็นเรา ได้เลย
เหนียวแน่น หนาแน่น มานานแสนนาน
ต่อให้ได้ฟังสักเท่าไหร่
แต่ว่า ถ้าขณะนั้น ไม่ได้รู้ ตามความเป็นจริง
ไม่ใช่ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
เพราะ ไปทำอย่างอื่น
แล้วก็ไม่รู้ว่า สิ่งที่ควรรู้ยิ่ง คือ "เห็น" เดี๋ยวนี้!!!
ต้องเข้าใจด้วยตัวเอง นะคะ
"เห็นเดี๋ยวนี้" มีจริงๆ
ควรรู้ยิ่งไหม? หรือควรไม่รู้?
หรือ ควรไปรู้อย่างอื่น?
สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ มีจริงๆ ควรรู้ยิ่งไหม?
หรือว่า ไม่ควรรู้
แล้วไปรู้อย่างอื่น ซึ่งหมดไปแล้ว หรือว่า ยังไม่ได้เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจทุกคำ อย่างมั่นคง
แล้วก็รู้ว่า เป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดง
ให้คนอื่น เข้าใจถูก เห็นถูกตาม
จนกระทั่งรู้ความจริง ทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
คนนั้น ก็จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็รู้จักพระอริยบุคคล ด้วย
ว่าผู้ที่จะเป็นพระอริยบุคคล ก็ต้องรู้ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
จะไม่รู้อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
แล้วจะทรงแสดงธรรมะทำไม?
ถ้าคนอื่นที่ฟัง ไม่สามารถที่จะรู้ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ กำลังเห็น ถ้าสามารถที่จะเข้าใจ
จนกระทั่งรู้จริงๆ จาก ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ผู้นั้นก็ไม่สงสัย ในพระปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทั้งๆ ที่ คนอื่น ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลยว่า "เห็น" ขณะนี้ เกิดดับ
ใช่ไหม?
เกิด ก็ไม่รู้ ดับ ก็ไม่รู้
กี่ขณะแล้ว ก็ไม่รู้
แล้วยังเป็นต่อๆ ไปอีก ทั้งวัน ก็ยังเห็นอย่างนี้
ก็ยังไม่รู้
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม แล้วก็ มีความเข้าใจจริงๆ
ไม่มีทางที่จะ ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เข้าใจ
ค่อยๆ สะสมปัญญา ที่สามารถจะดับกิเลสได้
เพราะว่า อะไรก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ นอกจากปัญญาอย่างเดียว
และ ปัญญา ก็ต้องตั้งแต่ขั้นฟังด้วย
ฟังอย่างละเอียด
จนกระทั่ง เข้าใจขึ้น
เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็รู้เอง ใช่ไหม? ว่าเข้าใจขึ้นหรือเปล่า?
แล้วก็ เข้าใจแค่ไหน?
ยากไม๊คะ?
ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ต้องคิดก่อน
ก่อนอื่นเลย
แค่ได้ยินคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระธรรมที่ทรงแสดงยาก หรือง่าย เท่านั้นเอง
ขั้นต้นที่สุด
ถ้าเราคิดว่าง่าย ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บำเพ็ญบารมีมารู้สิ่งที่ง่ายๆ
ตั้งสี่อสงไขยแสนกัปป์
แล้วพวกเรา เป็นพระจุลโสดาบัน แป๊บเดียว เป็นไงคะ?
พระพุทธเจ้าบำเพ็ญพระบารมีอย่างยิ่ง ด้วยพระปัญญา สี่อสงไขยแสนกัปป์
หลังจากที่ได้ฟังพยากรณ์ว่า
จะต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในสี่อสงไขยแสนกัปป์ ข้างหน้า
แล้วเรา ไม่ถึงกี่วัน ใช่ไหม?
ฟังไปแล้ว จะเป็นพระจุลโสดาบัน แค่นี้ เราก็ไม่ได้คิดแล้ว ใช่ไหม?
แต่ถ้าคิด
เป็นไปไม่ได้เลย
แม้แต่คนที่แสดงหนทาง ที่จะให้เราไปทางนี้ ไปทางนั้น ไปพักตรงนั้นก่อน ตรงนี้ก่อน
เขาก็ไม่ได้ให้เราเข้าใจอะไรเลย
เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่ไม่ได้ให้เราเข้าใจ เปล่าประโยชน์ที่จะฟัง ใช่ไหม?
ไม่ได้บอกเลย ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้อะไร?
แล้วก็จะเป็น จุลโสดาบัน ได้อย่างไร?
ทำไมพระพุทธเจ้า ถึงใช้เวลานานขนาดนั้น แล้วเราแป๊บเดียว
ยังมีคนที่เขาพูด เขาบอกว่า พระองค์ทรงตรัสรู้ แล้วก็ทรงแสดงหนทางให้เรา
ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องทำอะไร ตามอย่างเดียว
คือ เพียงคำพูดที่พูดเท่านั้น เราก็ไปถึงได้
ไม่ต้องทำอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย
เพราะฉะนั้น ยุคนี้ สมัยนี้ เป็นยุคที่สับสน
แล้วก็เป็นยุคที่
ถ้าไม่มีบุญจริงๆ ไม่มีทางที่จะได้ฟังคำจริง วาจาสัจจะ
แล้วก็เกิดปัญญา ที่จะรู้จริง ตามที่ได้ฟัง ด้วย
เพราะว่า ทุกคำ เป็นคำที่เปลี่ยนไม่ได้เลย ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้น เปลี่ยนอีกไม่ได้
อย่างขณะนี้ ใครเห็น?
มี "เห็น" ใช่ไหม?
ถ้า "เห็น" ไม่เกิด ก็ไม่มีใครจะเห็นได้
แต่พอเห็น แล้วไม่รู้ว่า เป็นธรรมะ ที่มีปัจจัยจึงเกิดได้ แล้วก็ดับไปแล้ว มากมายด้วย
เพราะไม่รู้อย่างนี้ จึงเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่มีว่า "เราเกิด"
แล้ว "เราก็เห็น" "เราคิดเรื่องราวต่างๆ " ทั้งหมด แล้วในที่สุดก็ตาย แล้วก็เกิดอีก
วนเวียนไป ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้ฟังคำอย่างนี้ เราจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า กว่าจะได้ตรัสรู้
เพราะว่า เดี๋ยวนี้ก็ "เห็น" แล้วตรัสไว้ว่า เห็นนี้เกิด แล้วก็ดับด้วย
และ ถ้าใครไม่สามารถจะรู้ตามอย่างนั้น
ทรงแสดงทำไม?
เสียเวลา ไม่มีประโยชน์เลย
พูดไปไม่มีใครเข้าใจ หรือว่า ไม่มีใครที่จะประพฤติปฏิบัติตามได้ ก็เสียเวลา
เพราะฉะนั้น ทุกคำนี้ ไม่เสียเวลา สำหรับผู้ที่ได้สะสมมาแล้ว
ที่จะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!!!
แล้วก็ทรงแสดงความจริง โดยละเอียดยิ่ง
เพราะว่า ถ้าไม่แสดงความจริงโดยละเอียดยิ่ง
ยังไงล่ะคะ?
จะประจักษ์การเกิด ดับ
ก็เหมือนเดิม ไม่มีการรู้ ไม่มีการละคลายอะไรเลย
แต่จะไปพูดกับคนอื่น ที่เขาไม่สนใจ ก็ยาก
เพราะว่า เขากำลัง "อยาก"
เขาก็อยาก ต่อไป และ ถูกให้อยากไปเรื่อยๆ ด้วย
แต่ว่า ถ้ารู้จริงๆ
พระธรรมที่ทรงแสดง เพื่อ "ละ"
สะกิดใจไหม?
ว่า จะไปเป็นพระจุลโสดาบันนี่ "อยาก" หรือว่า "ละ"
แล้วก็ ถ้าไม่มีปัญญาความรู้จริงๆ
อะไรละ?
เพราะแม้แต่คิดว่า "เราละ" ก็ผิด ใช่ไหม?
ไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้อง
เพราะว่า ถ้าเข้าใจถูกต้อง ต้องเข้าใจคำว่า "ธรรมะ"
คำนี้ ลึกซึ้ง
เพราะหมายความถึง สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจอะไรเลย
ก็ "ละ" สิ่งที่มีตั้งแต่เช้ามาถึงเดี๋ยวนี้ว่า "เป็นเรา" ไม่ได้
และ ทุกสิ่งทุกอย่างเดี๋ยวนี้ ก็เพียงเกิด มีปัจจัย เกิดแล้วดับ
รู้อะไรล่ะคะ? ดับไปแล้ว
สิ่งที่ดับแล้ว ก็รู้ไม่ได้
เฉพาะสิ่งที่ เมื่อไหร่ปัญญาสมบูรณ์
ไม่ว่าสิ่งใดที่จะเกิด ปัญญา สามารถเข้าใจสิ่งนั้นได้
เพราะว่า เคยสะสมความเข้าใจมาตลอด ที่จะเข้าใจสิ่งซึ่งจะเกิดข้างหน้า
ซึ่งเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เราไม่เข้าใจก็ดับแล้ว ไม่เข้าใจอีกก็ดับไปแล้ว
แต่ว่า เมื่อสะสมความรู้ความเข้าใจขึ้น
ก็สามารถจะเข้าใจถูก ในสิ่งที่เรารู้ไม่ได้ ว่าเป็นอะไร?
อย่างท่านพระสารีบุตร ท่านก็ไม่รู้ ว่าท่านจะพบท่านพระอัสสชิ แล้วได้ฟัง "คำ"
แล้วท่านก็รู้แจ้ง
เพราะท่านพร้อมแล้ว
แต่ทีนี้ เราไม่เคยคิดที่จะพร้อม ด้วยปัญญา
เราคิดแต่จะเอา
ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ถ้าฟังแล้วเข้าใจ
ขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้น ก็ละความไม่รู้ และ ไม่เข้าใจ
"เท่าที่เข้าใจ"
คุณป้าบำเพ็ญ สั้นๆ นิดเดียวค่ะ ท่านอาจารย์ขา
ถ้าไปเยี่ยมเพื่อนคนนั้นอีกที
จะทำอย่างไรดีคะ?
ท่านอาจารย์ คุณบำเพ็ญคะ ไม่ต้องทำอะไรหรอก ไม่ต้องทำอะไร
ดิฉันเข้าใจ คนที่หวังดีต่อคนอื่น
แต่มันเป็นไปไม่ได้
ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะรู้ว่า
ใครก็ทำอะไรไม่ได้
มั่นคงแล้ว ใช่ไหม?
เราเอง ยังแสนยากปานนี้ แล้วจะให้คนอื่นเขาเข้าใจด้วย
คิดดูก็แล้วกัน
คุณธีรพันธ์ ติดทุกอย่าง ใช่ไม๊คะ?
อ.ธีรพันธ์ ครับ ก็ส่วนใหญ่ ก็จะติดมากครับ แต่ว่า ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่า
รูปขันธ์นี่ ชอบทุกอย่างใช่ไหม? ผมก็บอกท่านอาจารย์ว่า ชอบ
ท่านอาจารย์ก็เน้นย้ำว่า ชอบทุกอย่างหรือ?
บางที ก็มีรูปที่ไม่ชอบเหมือนกัน แต่โดยปรกติแล้ว ก็คือ ชอบ
ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเรา จะพ้นจากความติดข้องในรูป
ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฐฐัพพะ ไม่ได้
ตั้งแต่เช้า จนถึงเมื่อกี้นี้ ที่เรารับประทานอาหาร
ใครไม่ติดข้องบ้าง?
"แสวงหา" ตลอดเวลา ก็ไม่รู้ตัว
ว่า "ลืมตา ก็แสวงหาแล้ว"
ถ้าไม่ใช่ "โลภะ" อะไรล่ะคะ? ที่ "แสวง"
เพราะฉะนั้น นี่คือ ทุกข์ ในสังสารวัฏฏ์ มีการแสวงหา มีวัฏฏะเป็นมูล
ทุกข์ในการแสวงหา มีวัฏฏะ เป็นมูล
วัฏฏะ คือ การต้องเกิดวนเวียน ไม่เกิดไม่ได้
เกิดแล้ว ยังมีทุกข์ เพราะการแสวงหา
ในชาตินี้ เห็นชัดๆ เลย ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น คนที่เขาไม่สะสมมา ที่จะฟังธรรมะ
คุณบำเพ็ญ ทำอย่างไรก็ไม่มีทาง
ไม่มีทางจริงๆ
เพราะอะไร?
ที่จะพรากเขา ออกจากความติดข้อง ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในเรื่องราว
ในการเมือง การบ้าน อย่างที่คุณบำเพ็ญ เป็นมากๆ
แล้วก็รับด้วย ว่าเป็นเยอะ
ก็แสดงว่า แต่ละคน ติดข้องในแต่ละอย่าง
แต่ ติดทั้งนั้นเลย
แล้วแต่คุณวีระ จะติดข้องในอะไร? ใช่ไหม?
คุณเล็ก ใครๆ ก็ตาม
ติดข้องหมด
พรากเขาออกมา เพียงให้แค่ฟังธรรมะ ยังทำไม่ได้
"คิดดู"
พรากเขา จากความติดข้อง ในชีวิตประจำวัน ที่ติดมากๆ
ขอเพียงให้ฟัง หรือ มาฟัง หรือ มาก็ได้
ยังไม่ได้
แล้วจะอะไรล่ะคะ?
เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้สะสมบุญมา ที่จะมีโอกาส ได้ยิน ได้ฟังพระธรรม
ไม่มีทางเลย
ตอนนี้ พูดถึงคำว่า "ภิกขุ"
เพราะเมื่อกี้นี้ คุยกันไม่กี่คน แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ มีโอกาสที่ในชั้น วันเสาร์วันอาทิตย์
ก็คงจะเป็นประโยชน์
เพราะว่า แม้แต่คำว่า "ภิกขุ" คำเดียว
ชาวบ้าน สนใจไหม?
แต่ ทั้งๆ ที่เราสนใจ "เราเข้าใจ" แค่ไหน?
ใช่ไหม?
เราก็แปลโดยตรงมา "ผู้ขอ"
แต่ว่า ความหมายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งกว่านั้นมาก
"ภิกขุ" ความหมาย ซึ่งคนไม่ค่อยพูด ก็คือ "ผู้ที่มีคุณ"
ภิกขุ คือ ผู้ที่มีคุณ
คือ ทำความดี อันมีการขอเป็นเหตุ หรือ อันเนื่องมาจากการขอ
หรือ เพราะเหตุแห่งการขอ
"ผู้มีคุณ" คือ ทำความดี "เพราะเหตุแห่งการขอ"
หมายความว่า ภิกษุ ขอ ใช่ไหม? ที่แปลกัน
"ผู้ขอ"
ขอแล้ว ทำอะไร?
ถ้าไม่ได้ทำความดี ไม่ใช่ภิกขุ
เพราะว่า ภิกขุ ขอจริง แต่ว่า ความหมายก็คือว่า ผู้นี้ไม่ใช่ขออย่างคนอื่น
แต่ "ขอ" อย่างผู้มีคุณ คือ ทำความดี อันเนื่องมาจากการขอ
หรือ เพราะเหตุแห่งการขอ แล้วต้องทำความดี
เพราะฉะนั้น ถ้าภิกขุไหน ไม่ได้ทำอย่างนี้ เป็นภิกขุไหม?
เราเคยคิดไหม?
ผู้มีคุณ คุณ คือ ความดี
คือ ทำความดี อันมีการขอ เป็นเหตุ หรือ เพราะเหตุแห่งการขอ
ขอแล้ว ต้องทำความดี
เพราะฉะนั้น ตรัสเรียก เพื่อให้รู้สึกตัว
รู้สึกตัว มี ๒ อย่าง
รู้ตัว ว่ากำลังจะได้ฟัง "คำ"
ซึ่งต้องเป็นผู้ที่ท่านใช้คำว่า ควรแก่กาลจะได้ฟังพระดำรัส ของพระผู้มีพระภาคฯ
เพราะฉะนั้น ภิกขุ "ผู้ควรแก่การจะได้ฟังพระธรรม"
แค่นี้
แล้วเราก็จะไปเกณฑ์คนมาฟังพระธรรม ได้ไหม?
เพราะว่า ต้องเป็นผู้ที่ควรแก่การได้ "ฟัง"
ไม่ใช่ว่า ทุกคน จะได้ฟัง
แต่ว่า ต้องเป็นผู้ที่ควรแก่การได้ฟัง ในเมื่อบวชมาแล้ว
และ ที่ใช้คำว่า ภิกขุ
เพราะเหตุว่า ดำเนินตามพระพุทธเจ้าตั้งแต่ต้น คือ สละอาคารบ้านเรือน
เพราะฉะนั้น แม้แต่ความหมายของภิกขุ ทั้งหมดที่ตรัสเรียก
เพื่อให้รู้ตัว
เพื่อให้ฟังพระธรรม
เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ตรัสเรียก คุยกันแล้ว หรือ คิดอย่างอื่นแล้ว ใช่ไหม?
ตรัสไปแล้วกี่คำ เลยไม่ได้ฟังคำแรก
พอไม่ได้ฟังคำแรก
จะรู้ได้อย่างไร? ว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร?
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะตรัสทุกครั้ง ก็ใช้คำว่า "ดูกร ภิกขุทั้งหลาย"
ให้รู้สึกตัว ให้เข้าใจความหมายของภิกขุ
และ เพื่อ "ข่ม" ภิกขุผู้ผยอง ให้สำนึก ในความเป็นภิกขุ
ที่จะควรแก่การที่จะได้ฟังพระธรรม
ควรแก่การที่จะได้ฟังพระพุทธพจน์ หรือ พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคฯ ตรัส
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ควรแก่การฟัง ควรแก่การที่จะได้ฟัง
เป็นใคร?
นี่คือ ตรัส เพื่อให้ตั้งใจฟัง
เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ตั้งใจฟัง
อเสวนา กับ เสวนะ เห็นไหม? เราก็ปนกันแล้ว
เพราะมีคำว่า เสวนา เสวนะ เหมือนกัน
แต่อันหนึ่ง เป็น อเสวนา อีกอันหนึ่ง เป็น เสวนา
เห็นไหม? นี่ก็ต้องฟังแล้ว
โสต ที่จะมากระทบหู
ต้องตั้งใจ
มิฉะนั้น พยัญชนะคลาดเคลื่อน ความหมายผิด
แค่นี้ค่ะ ความลึกซึ้งของพระธรรม
เพราะอะไร? เพราะ "แต่ละคำ" มี ไม่ใช่ไม่มีอะไร อยู่ในคำนั้น
แต่มีเนื้อความที่ สามารถที่จะ "ปฏิเวธ" ประจักษ์แจ้งได้
นี่คือ ทุกคำ ที่ตรัส
เพราะฉะนั้น ค่าของแต่ละคำ มากมายแค่ไหน?
เป็นรัตนะ จริงๆ
เพราะฉะนั้น เราจะไปหวังดีกับใครสักเท่าไหร่
"ตรัส กับ คนที่ควรแก่การที่จะได้ฟัง"
[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ หน้าที่ ๔
อรรถกถาปฐมปฏิจจสมุปบาทสูตรที่๑
คําว่า ภควา เป็นคําแสดงว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นครูของชาวโลก
ด้วยคําว่า ภิกขุ เป็นคําระบุถึงบุคคลผู้ควรแก่การฟังพระดํารัส
อีกนัยหนึ่ง ในคําว่า ภิกขุนี้ พึงทราบความหมายถ้อยคําโดยนัยเป็นต้นว่า
ที่ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่า ขอ (และ) ที่ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่า เข้าถึงการภิกษาจาร
บทว่า อามนฺเตสิ แปลว่า ตรัสเรียก คือได้ตรัส ได้แก่ ให้รู้ตัว
ในคําว่า อามนฺเตสินี้ มีอธิบายดังนี้ แต่ในที่อื่นมีความหมายว่า ให้รูป
เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนเธอทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลาย เราขอประกาศแก่เธอทั้งหลาย มีความหมายว่าเรียกก็มี
เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า มาเถิดภิกษุ เธอจงเรียกพระสารีบุตรมาตามคําของเรา
บทว่าภิกฺขโว เป็นบทแสดงอาการ คือการตรัสเรียก ก็คําว่า ภิกฺขโว นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่เหล่าภิกษุ เพราะสําเร็จด้วยการประกอบด้วยคุณ
มีความเป็นผู้ขอเป็นปกติก็ดี ผู้ประกอบด้วยคุณ มีการขอเป็นธรรมดาก็ดี
ผู้ประกอบด้วยคุณ คือทําความดีในเพราะการขอก็ดี ชื่อว่า ภิกษุ
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงประกาศความประพฤติ
ของภิกษุเหล่านั้น อันคนชั้นเลวและคนชั้นดีเสพแล้ว ด้วยถ้อยคําที่สําเร็จ
ด้วยการประกอบด้วยคุณ มีการขอเป็นปกติ เป็นต้น
จึงทรงทําการข่มภาวะ ที่เหล่าภิกษุผู้ผยองขึ้น เป็นต้น.
...ณ กาลครั้งหนึ่ง คุณป้าบำเพ็ญ พลละคร
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะสหายธรรม
ที่ ร้านตะลิงปลิง สุขุมวิท ๓๔ กรุงเทพมหานคร...
...ทุกขณะ ล่วงไปแล้ว และ ไม่มีวันที่จะหวนกลับคืนมาได้อีกเลย...ในสังสารวัฏฏ์...
[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้าที่ ๑๘๐
ขณะ อย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย
ท่านทั้งหลายจงกระทำตามพระพุทธพจน์ คือ จงกระทำตามพระดำรัสของพระผู้มี
พระภาคพุทธเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเพ่ง (พินิจ) อย่าเป็นผู้ประมาท คือ จงยังข้อปฏิบัติให้ถึงพร้อมตามที่ทรงพร่ำสอน.
บทว่า ขโณ โว มา อุปจฺจคา ความว่า จริงอยู่ บุคคลใด ไม่กระทำตามพระพุทธพจน์
ขณะแม้ทั้งหมดนี้ คือ ขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ๑ ขณะที่ได้เกิดขึ้นในปฏิรูปเทสะ (ประเทศอันสมควร) ๑ ขณะที่ได้สัมมาทิฏฐิ ๑ ขณะที่มีอวัยวะทั้ง ๖ ไม่บกพร่อง ๑ ย่อมล่วงเลยบุคคลนั้น, ขณะ อันนั้น อย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย. บทว่า ขณาตีตา ความว่า ก็บุคคลใดล่วงเลยขณะนั้นไปเสีย หรือว่าขณะอันนั้นล่วงเลยบุคคลใดไปเสีย บุคคลเหล่านั้นก็จะยัดเยียดกันอยู่ในนรก คือ บังเกิดในนรกนั้นเศร้าโศกอยู่สิ้นกาลนาน. (จาก ... ปรมัตถทีปนี อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา มาลุงกยปุตตเถรคาถา)
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณป้าบำเพ็ญ พลละคร
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณป้าบำเพ็ญ พลละคร
ขออนุโมทนาพี่วันชัย ที่เก็บภาพ และ ธรรมได้อย่างละเอียด งดงามมาก ครับ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณป้าบำเพ็ญ พลละคร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ครับ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณป้าบำเพ็ญ พลละคร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ผมประทับใจทุกครั้งที่ได้อ่านบทความของพี่วันชัย ภู่งาม มากๆ เลยครับ งดงามครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณบำเพ็ญ พลละคร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ได้อ่านเห็นภาพที่คุณวันชัย ภู่งาม มาบอกมาเล่า ซาบซึ้งมาก
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณป้าบำเพ็ญ พลละคร และพี่แอ๊ว ฟองจันทร์ ผู้ร่วมจัดการการสนทนาในครั้งนี้
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ครับ ได้สาระธรรม สาระประโยชน์ และภาพกิจกรรมที่งดงามเช่นเคยครับ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอบพระคุณ สาธุ อนุโมทนา ด้วยความเคารพยิ่ง
จาก ใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี