คนเราตายแล้วไปไหน ทำไมบางคนตายอย่างทรมาน
อยากทราบว่า คนเราตายแล้วไปไหนคะ ทำไมบางคนตายอย่างทรมาน บางคนตายอย่างสงบ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การตายเป็นธัมมะที่เป็นเพียงการเกิดขึ้นของจิตที่เรียกว่า จุติจิต ซึ่งความตายในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ไม่รู้ เพราะในความเป็นจริงของชีวิตที่เกิดมา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูปที่เกิดขึ้น สำหรับขณะที่เกิด ในพระพุทธศาสนา คือ ขณะที่จิต เจตสิกเกิดขึ้น ในขณะที่ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรม สำหรับการเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นผลของกรรมดี ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด ขณะนั้นเกิดแล้ว ในภพภูมิมนุษย์ อยู่ในครรภ์ เล็กมาก และกรรมก็จัดสรรให้เป็นไป จนในที่สุด เมื่อถึงคราวที่ตาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตาย แต่เป็นจิต เจตสิกที่เกิดขึ้น คือ ขณะที่จุติจิตเกิด ขณะนั้นชื่อว่า ตาย โดยสมมติว่า ตายจากความเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น การตายในพระพุทธศาสนาที่เป็น สมมติมรณะ คือ ตายจากโลกนี้ไป เป็นในขณะที่จุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ เพราะหมดกรรมที่จะทำให้เป็นบุคคลนี้อีก ซึ่งไม่มีใครรู้ล่วงหน้าได้เลย
[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้า ๔๔๓
[๙๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่เศร้าหมอง มลทินจับ ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นหย่อนลงในน้ำย้อมใด ๆ คือสีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือ สีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นผ้ามีสีที่เขาย้อมไม่ดีมีสีมัวหมอง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะผ้าเป็นของไม่บริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.
ผ้าที่บริสุทธิ์หมดจด ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นหย่อนลงในน้ำย้อมใดๆ คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือ สีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นผ้ามีสีที่เขาย้อมดีมีสีสด ข้อนั้น เพราะเหตุอะไร เพราะผ้าเป็นของบริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิต ไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.
เพราะฉะนั้น ตายแล้วไปไหน ก็ไปตามกรรม ถ้าอกุศลกรรมให้ผล จิตเศร้าหมองก่อนตาย ก็ไปอบายภูมิ ทุคติ มี นรก เป็นต้น แต่ถ้ากรรมดีให้ผลก่อนตาย ก็ไปสุคติ มีการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นต้น ซึ่งไม่แน่นอนเลย
ส่วนก่อนตาย บางคนทรมาน ไม่ทรมาน ก็ตามแต่กรรมจัดสรร ซึ่งไม่เหมือนกัน แล้วแต่กรรมดี หรือ ไม่ดีให้ผล ครับ เป็นความจริงที่ว่า ชีวิตของแต่ละบุคคลที่เกิดมาแล้วล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีชาติ คือ มีการเกิดแล้ว ชราย่อมติดตาม พยาธิก็ครอบงำ และท้ายที่สุดก็ถูกมรณะ คือ ความตายห้ำหั่น ทำให้เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ขณะที่ตาย เป็นจิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้ที่เกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ทันที แล้วดับไป ขณะที่ตาย ไม่สำคัญ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ก่อนจะตาย (คือ ก่อนจุติจิตเกิดขึ้น) ต่างหากว่าจะเป็นอย่างไร กุศลจิตหรืออกุศลเกิดก่อนตาย นี่คือสิ่งที่ควรจะได้พิจารณาจริงๆ
เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท คือ ไม่ประมาทกำลังของอกุศล และไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการอบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย เพราะเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้มาถึง ต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ไม่มีใครสามารถที่จะขอร้อง หรือ ผัดเพี้ยนได้เลย ดังนั้น จึงควรเจริญกุศลทันที ให้ทาน รักษาศีล ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาทันที เพราะไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ได้ คือ เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่เสมอ โอกาสที่จะเป็นผู้รู้สึกตัวก่อนตาย คือ ขณะที่จิตเป็นกุศลเกิดก่อนตาย ก็ย่อมจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่าผู้ที่ประมาทมัวเมาในชีวิตอันจะเป็นผู้หลงตาย ซึ่งก็คือ ตายอย่างไม่มีที่พึ่ง นั่นเอง ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การตายของสัตว์โลก คือ จุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ชาตินี้ เมื่อจุติจิตดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ทำกิจสืบต่อความเป็นบุคคลใหม่สืบต่อทันที (สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส) เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้ทั้งหมด เมื่อตายไป (จิตขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้) ย่อมเกิดทันที แต่จะไปเกิดเป็นอะไร และ ที่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำแล้ว กล่าวคือ ผู้ทำกรรมดี เมื่อตายไป กรรมดีให้ผลย่อมเกิดในสุคติภูมิ ได้แก่ ภูมิมนุษย์ ภูมิสวรรค์ ตามควรแก่เหตุ (คือกรรม) ในทางตรงกันข้ามผู้ทำกรรมชั่วไว้ (ถ้ายังไม่บรรลุเป็นพระอริยบุคคล) เมื่อกรรมชั่วนั้นให้ผล ย่อมเกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และ สัตว์เดรัจฉาน
สรุปแล้วคือเกิดแน่นอน สังสารวัฏฏ์ก็ยังดำเนินต่อไป มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป เกิดขึ้นเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย ส่วนผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว (ตาย) ย่อมไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขณะใดที่กุศลเกิดควรเจริญทันที ฟังธรรมะเพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่ฟัง เข้าใจลักษณะธรรมะที่ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่มีตัวตนที่จะไปทำ แต่เป็นธรรมะปฏิบัติกิจของธรรมะ ตามสติกำลังที่ระลึกได้ เป็นเรื่องของการขัดเกลาความไม่รู้ ไม่ใช่เรื่องการได้บุญ แต่ธรรมะจัดสรรเอง
ขออนุโมทนาค่ะ