จิตเห็นกับจิตได้ยินห่างกันเกิน 17 ขณะ

 
papon
วันที่  15 ก.ย. 2557
หมายเลข  25535
อ่าน  1,301

เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน

"จิตเห็นกับจิตได้ยินห่างกันเกิน 17 ขณะ......." ท่านอาจารย์มักบรรยายถึงการห่างกันของจิตทั้งสอง กระผมยังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับคำบรรยายนี้เท่าไรนัก ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์กำลังบอกให้ทราบว่าอย่างไรครับ ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาอธิบายเพื่อความเข้าใจด้วยครับ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 15 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แสดงให้เห็นความจริงของสภาพธรรม ที่เพียงเกิดขึ้นและดับไป ไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่เป็นวิถีจิตทางตา ทางหู ที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว ไม่มีเราที่เห็น ไม่มีเราที่ได้ยิน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกันเท่านั้น ซึ่งการเข้าใจขั้นการฟังก็ได้รับประโยชน์ เพราะทำให้ค่อยๆ ละคลายความยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล ทีละน้อย

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงสิ่งที่มีจริง อุปการะเกื้อกูลให้สัตว์โลกได้ฟังได้ศึกษา ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริงในสิ่งที่พระองค์ทรงแสดง ซึ่งก็จะต้องเป็นสัตว์โลกผู้สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว เคยเห็นประโยชน์ของพระธรรมจึงมีศรัทธา เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง จึงมีการฟังมีการศึกษา แต่จะไม่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาเลยแม้แต่น้อย

ดังนั้น สำหรับผู้ที่มีโอกาสแล้ว ก็ไม่ควรท้อถอย ควรที่จะเพิ่มพูนศรัทธา ความเพียร ความอดทน ความจริงใจ ในการฟัง ในการศึกษาต่อไป เพราะการสะสมปัญญาไปทีละเล็กทีละน้อย ในที่สุดก็ถึงความเจริญสมบูรณ์ ทำให้สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสตามลำดับขั้นได้ในที่สุด ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานทีเดียวในการอบรมเจริญปัญญา ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 15 ก.ย. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ จะเห็นได้ว่าชีวิตประจำวันไม่เคยขาดจิตเลย มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่ เห็น ก็เป็นจิตขณะหนึ่ง ได้ยิน ก็เป็นจิตขณะหนึ่ง ไม่เกิดพร้อมกัน ไม่ปะปนกัน เพราะจิตจะเกิดพร้อมกัน ๒ หรือ ๓ ขณะไม่ได้ แต่เกิดทีละขณะ และเมื่อจิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อไป เป็นลำดับด้วยดี

เห็น เป็นจิตขณะหนึ่งที่เกิดขึ้น เมื่อจิตเห็นเกิดแล้ว ก็มีจิตอื่นเกิดสืบต่อ ตามวิถีจิตที่เกิดขึ้นทางตา คือ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ ชวนะ (๗ ขณะ) ถ้ารูปยังไม่ดับ ก็มีตทาลัมพนจิตเกิดอีก ๒ ขณะ แล้วภวังคจิตคั่น แล้ววิถีจิตทางใจก็เกิดสืบต่อ ซึ่งมีจิตเกิดดับหลายเกิน ๑๗ ขณะแล้ว กว่าที่วิถีจิตทางหู จะเกิดขึ้น มีเสียงเป็นอารมณ์

ประโยชน์ของการศึกษาธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ไม่พ้นไปจากเพื่อเข้าใจความจริง เพื่อขัดเกลาละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์บุคคล แม้แต่จิตเห็น จิตได้ยิน ก็เป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 15 ก.ย. 2557

จิตเห็นกับจิตได้ยินห่างกันเกิน 17 ขณะ หมายถึง คนละอารมณ์ คนละวิถี คนละวาระ และ แต่ละวิถีมีหลายวาระ ตามอายุของรูป ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ประสาน
วันที่ 16 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
papon
วันที่ 16 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 17 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ