ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านพักตากอากาศ ของ คุณนภา จันทรางศุ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อันเนื่องมาจากที่ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจากคุณกุสุมา โกมลกิติ เพื่อไปพักผ่อน และ สนทนาธรรม ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน ระหว่างวันที่ ๙ - ๑๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมภาพและความการสนทนาธรรม ได้ที่นี่...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน ๙-๑๑ ก.ย. ๒๕๕๗
ในวันสุดท้าย ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร คุณนภา จันทรางศุ (คุณแอ๊ว) ได้ขออนุญาตจากคุณกุสุมา (พี่จู) เพื่อขอโอกาสร่วมเจริญกุศลในครั้งนี้ ด้วยการกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ และ คณะฯ แวะพักรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านพักตากอากาศของคุณแอ๊ว ที่ ชะอำ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร
ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าได้รับเชิญจากพี่จู เพื่อมาร่วมสนทนาธรรม ที่ คอนโดมิเนียมของพี่จู ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม หัวหิน และคุณแอ๊ว ได้ชวนให้มาพักที่ คอนโดมิเนียม บ้านเพลินทะเล ของคุณแอ๊ว ด้วยกัน คุณแอ๊วบอกว่า ได้รับโอกาส ในการจัดเลี้ยงอาหารกลางวันท่านอาจารย์และคณะฯ ในวันเดินทางกลับ หลังจากเสร็จสิ้นการพักผ่อนและสนทนาธรรม ที่หัวหินแล้ว โดยจัดเลี้ยงอาหาร ที่ อิสระ วิลเลจ ซึ่งเป็นทาวน์โฮมที่อยู่ด้านหลังคอนโดฯของคุณแอ๊ว ที่เพิ่งซื้อไว้ไม่นานมานี้ โดยครั้งแรก ก็ตกลงกันว่าจะนอนพักค้างแรมที่คอนโดฯ แต่ไปๆ มาๆ เนื่องจากต้องเตรียมสถานที่ และ จัดเตรียมอาหารไว้ต้อนรับท่านอาจารย์ คณะของเราซึ่งมีคุณแอ๊ว คุณพรทิพย์ ข้าพเจ้า กับคุณภรรยาและน้องตอง จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ที่จะนอนค้างที่ทาวน์โฮม ไม่เดินไปนอนที่คอนโดฯ ซึ่งอยู่ด้านหน้า ด้วยเหตุผลเพียงประการเดียว คือ ไม่ขยันเดิน (ขี้เกียจ)
หลังกลับจากฟังการสนทนาธรรม ที่ เดอะรอยัล ปริ๊นเซส คอนโดมิเนียม ในวันที่สอง ซึ่งมีการสนทนาธรรม ตั้งแต่เวลาราว ๑๐ โมงเช้า และ การสนทนาธรรม ที่เป็นไปด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์ แบบสบายๆ ทำให้การสนทนาในวันนี้ เพลิดเพลิน จนเวลาล่วงไปถึงราวทุ่มครึ่ง จึงจบการสนทนา ท่านที่สนใจ สามารถชมภาพและความการสนทนา ตามลิงค์ที่ได้ให้ไว้ข้างต้น นะครับ
ขากลับจากคอนโดฯของพี่จู คณะของเรา ก็แวะซื้อของสดบางชนิด เล็กน้อย ที่ ร้านโกลเด้นเพลส ข้างพระราชวังไกลกังวล หัวหิน ที่เป็นทางผ่านกลับชะอำ สำหรับอาหารสดอื่นๆ เช่น เนื้อปลาแซลมอนชิ้นโตๆ กรรเชียงปูม้านึ่ง กุ้งแชบ๊วยตัวโต ดอกไม้สดประดับบ้าน และ เครื่องปรุงรส พร้อมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ อีกอักโข ได้ถูกจับจ่าย จากตลาดกลางกรุงเทพฯโดยคุณแอ๊ว ตั้งแต่เช้าวันแรก ก่อนที่จะมา โดยคุณแอ๊วได้นัดแนะให้ไปรับเธอ ที่หลังกระทรวงมหาดไทย ราวๆ เก้าโมงเช้า และ ลำเลียงของทั้งหมด อัดแน่นเต็มหลังรถจิ๋วแต่แจ๋วของข้าพเจ้า มาจากกรุงเทพ โดยแวะรับคุณพรทิพย์ที่บ้านตลิ่งชัน แล้วเดินทางมุ่งตรงสู่ ชะอำและหัวหินเลย
หลังกลับจากการสนทนาธรรม ในวันที่สอง และ ได้แวะซื้อของสดเล็กน้อย บางส่วน ที่ร้านโกลเด้นเพลสดังกล่าวแล้ว คณะของเรา ก็เดินทางกลับมาเตรียมการใหญ่ ทันที คุณแอ๊ว ได้แสดงความสามารถให้ทุกคนประจักษ์และชื่นชมเป็นอย่างมาก เธอเป็นคนที่เพียบพร้อม สมบูรณ์ไปทุกอย่างจริงๆ ครับ ทำทุกอย่าง ด้วยความละเอียด ละออ เป็นขั้นเป็นตอน รวดเร็ว เรียบร้อย อย่างยิ่ง โดยมีผู้ช่วยที่ขยันขันแข็ง กุลีกุจอ เป็นลูกมือที่ว่านอน สอนง่าย ถึงสามคน งานนี้ คุณพรทิพย์ ภรรยาของพี่หมอทวีป รับอาสาล้างจานเป็นงานหลัก แกะกระเทียม บีบมะนาว เป็นงานอดิเรก น้องตองและโม่ย คุณภรรยาของข้าพเจ้า ก็คอยรับคำสั่งจากคุณแม่ครัวใหญ่นภา ส่วนข้าพเจ้ารับขันอาสาเป็นฝ่ายดูแลความเรียบร้อยของสถานที่ ปัดกวาดเช็ดถู เล็กๆ น้อยๆ พอให้คุ้มกับค่าข้าว ค่ากาแฟ กับสเต๊กปลาแซลมอน ตอนเช้า
คืนนี้ คุณแอ๊วเธอเตรียมหมักปลาแซลมอน เพื่อไว้ทำเสต๊กในวันรุ่งขึ้น เธอทั้งเก่งและทำอะไรๆ ได้รวดเร็วมากครับ หลังเตรียมการเสร็จเพียงไม่นาน คุณแอ๊วก็ทำมื้อค่ำ เป็นข้าวผัดปูจานใหญ่บึ้ม มีปูเป็นก้อนๆ ละลานตาจริงๆ (เฮ้อออ) เท่านั้นยังไม่พอ คุณแอ๊วยังทำเกาเหลาลูกชิ้นมาอีกชามโต และที่พิเศษสุดๆ คือ ปลาแซลมอน ของโปรดของข้าพเจ้า ที่คุณแอ๊วแปลงร่างให้เป็นแซลมอนแช่น้ำปลาเป็นน้ำปลารสดีมาก ที่คุณแอ๊วนำมาจากเวียดนามเมื่อคราวที่ท่านอาจารย์ได้รับเชิญ จากกลุ่มศึกษาธรรมชาวเวียดนาม ไปสนทนาธรรม ที่ฮอยอัน และ เว้ เป็นเวลาถึงครึ่งเดือน เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมานี้เอง ถ้าเป็นภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ ก็ต้องบอกว่า รสชาติแซ่บเวอร์ นะครับ คุณแอ๊วครับ รับประทานมื้อค่ำเสร็จ เราทุกคนก็ได้เวลาอาบน้ำ นอนพักผ่อน เพื่อออมแรง ไว้สำหรับงานทำอาหารต้อนรับคณะของท่านอาจารย์ ในมื้อกลางวันพรุ่งนี้
เสียงเปิด ปิดประตู และ เสียงอาบน้ำ จากข้างห้องในตอนเช้า ราว ๕.๓๐ น. ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า แม่ครัวใหญ่พร้อมกับอาสาสมัครห้องโน้น ตื่นนอนกันแล้ว ข้าพเจ้าลุกเข้าห้องน้ำ แต่งตัว ลงไปข้างล่าง ก็พบคุณแอ๊วและคุณทิพย์ ลงมาแล้ว และกำลังทำงานกันขมีขมัน คุณทิพย์ล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า หลังเสร็จงานนี้ คุณทิพย์เล่าให้ฟังว่า ได้กราบเรียนท่านอาจารย์ ถึงความรู้สึกของคุณทิพย์ในขณะที่กำลังล้างจานกองโตว่า ปรกติที่ผ่านๆ มา เวลาคุณทิพย์กำลังล้างจาน หากมีใครนำจานมาเพิ่ม คุณทิพย์จะบอกว่าให้ล้างเอาเอง แต่ครั้งนี้ คุณทิพย์กล่าวว่า ความรู้สึกในขณะนั้นเปลี่ยนไป คุณทิพย์ไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย เป็นความรู้สึกอิ่มใจมาแทนที่ และรู้สึกเต็มใจที่จะล้างโดยไม่มีความรู้สึกเช่นก่อนๆ นี้เลย วันหนึ่ง ทุกคนก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง ถึงความเปลี่ยนแปลง ที่จะเป็นคนดีมากขึ้น จากการที่ได้ศึกษาและเข้าใจพระธรรม และ คนดีนั้นก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งเกิดขึ้น ตามเหตุ ตามปัจจัย นั่นเอง ส่วนคุณแอ๊ว เธอทอดสเต๊กปลาแซลมอนชิ้นโต เสียงฉ่าๆ กลิ่นหอมฉุย ยั่วน้ำลายไม่เบา เอ...นี่ข้าพเจ้าชักจะคะนองมือ เขียนบรรยายให้ทุกท่านเดือดร้อนเสียนี่กระมัง?
ระหว่างที่แม่ครัว ทำงานทุกอย่างแข่งกับเวลา แต่ก็พูดคุยกันสนุกสนาน ตลอดเวลา ส่วนข้าพเจ้า ก็อย่างที่บอก เป็นฝ่ายเสนาธิการสถานที่ ก็ทำไป หยุดไป เสพคุ้นกับบรรยากาศสดชื่นยามเช้า ที่สุดแสนจะรื่นรมย์ ดีมากๆ ครับ โดยไม่ลืมที่จะถ่ายรูปไว้ด้วย ไม่เช่นนั้น เดี๋ยวไม่มีอะไรมาฝากทุกๆ ท่าน เสียเที่ยวแน่ๆ
สำหรับบุคคลโดยทั่วไป ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ชีวิตปรกติ ก็เป็นไปกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย แม้ชีวิตของผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม ก็เป็นปรกติเช่นเดียวกัน ที่เป็นไปกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย สิ่งที่แตกต่างระหว่างผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรม กับ ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา ไม่เข้าใจธรรม ต่างกันตรงไหน? ข้าพเจ้าจำคำหนึ่ง ที่ท่านอาจารย์บรรยายไว้อย่างขึ้นใจ อย่างฝังอยู่ในใจ ในทำนองที่ว่า ตั้งแต่ลืมตาตื่น ชีวิตก็เป็นไปกับความติดข้องต้องการ สิ่งโน้นบ้าง สิ่งนี้บ้าง แต่ในขณะที่เดินลงบันได มีแข็ง ปรากฏขึ้น บ้างไหม? ปรากฏกับอะไร?
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงการทำครัว และ เสียงคุยหยอกล้อกันสนุกสนาน คุณประกิต สามีของคุณแอ๊ว ก็เดินทางมาถึง พร้อมๆ กับ ขนมจีนน้ำพริก และ ปีกไก่ยัดไส้ ที่คุณแม่ของคุณแอ๊ว ปรุงสุดฝีมือมาจากกรุงเทพฯ แต่เช้าตรู่ ขอบอกว่า ขนมจีนน้ำพริกฝีมือคุณแม่ของคุณแอ๊ว อร่อยมากๆ ครับ ทั้งท่านอาจารย์ คุณป้าจี๊ด พี่แดง และ ทุกๆ คน ออกปากชมไม่ขาดเลย อร่อยจริงๆ รสชาติ นุ่มนวล ละมุนละไม แบบไทยแท้ๆ ที่หารับประทานได้ยาก ที่สำคัญ ไม่หวานครับ ที่คุณแอ๊วมีความเก่งกาจ เพียบพร้อมเช่นนี้ เหตุหนึ่งที่สำคัญเพราะมีคุณแม่ที่แสนดีนี่เอง คุณแม่ของคุณแอ๊ว มีฝีมือทำอาหารอร่อยมากๆ ทราบว่า แต่ก่อนคุณแอ๊วมีร้านอาหารที่อยู่ในซอยศาลาแดง สีลมด้วย และอาหารที่ขึ้นชื่อ ก็คือปีกไก่ยัดไส้ที่นำมาในวันนี้ ข้าพเจ้าแอบได้ยินคุณแม่ของคุณแอ๊วโทรตามหลังคุณประกิตมาว่า ให้เก็บปีกไก่ไว้ให้ด้วย คุณแม่ไม่ได้รับประทานนานแล้ว ทำเสร็จ คงคิดแต่จะส่งให้คุณลูกสาว เลยลืมขยักไว้ชิม
และแล้ว การทุกอย่าง ก็พร้อมสรรพ ที่จะรอต้อนรับคณะของท่านอาจารย์วันนี้ คุณแอ๊ว ได้ชวนคุณเอ๋ (สุภัทรา) และน้องมะปราง มาร่วมรับประทานอาหารด้วย เพราะคุณเอ๋ อยู่ใกล้ๆ เพียงจากราชบุรี และน้องมะปราง บ้านเธออยู่ที่หัวหินนี่เอง รู้จักกันกับข้าพเจ้า คราวไปอินเดียพร้อมคุณเอ๋ ครั้งก่อน และยังได้ไปพม่าด้วยกันอีก คุณเอ๋น่ารักมาก นอกจากจะนำวุ้นกะทิเจ้าอร่อยมาฝาก ยังนำเด็กที่ร้านมาถึงสองคน ทั้งสองคนก็น่ารักมากอีก มาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง คงเป็นเพราะเจ้านายสอนมาดีทั้งสองคน คนหนึ่งคือลูกน้องคนสนิท ช่วยทอดปีกไก่แทนคุณแอ๊ว อีกคนหนึ่ง ช่วยคุณทิพย์ล้างจานแทน จนคุณทิพย์ถึงกับออกปากว่า เป็นบุญของเธอจริงๆ กรรมและผลของกรรม แสดงให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เมื่อเข้าใจย่อมเป็นผู้มั่นคงขึ้นในธรรม ได้เห็นถึงอัธยาศัยที่สะสมมาของบุคคล ความสมบูรณ์พร้อม และ ความเป็นผู้สละโดยง่าย อีกอย่างหนึ่ง ที่เว้นที่จะกล่าวเสียมิได้ คือ กล้วยบวดชี ฝีมือพี่สาวคุณพิมพา จากท่ายาง พี่สาวของคุณพิมพา อายุ ๗๒ ปีแล้ว มีฝีมือทำขนมหวานที่เลื่องลือในหมู่สหายธรรมมาก วันก่อน ท่านทำสาคูเปียกใส่เผือก มะพร้าวอ่อน และ เม็ดบัว มาที่คอนโดฯพี่จู ข้าพเจ้ามัวแต่มะงุมมะงาหราอยู่ หันไปอีกที เหลือแต่หม้อเปล่าๆ เสียแล้ว น้องตองเอาที่เหลือก้นถ้วยของเธอ ซึ่งมีแต่สาคูเท่านั้น มาให้ชิมคำหนึ่ง ย้ำว่า "คำหนึ่ง" จะบอกว่า อร่อยมากๆ อีก ก็รู้สึกเกรงใจท่านผู้อ่าน ว่า อะไรๆ ก็อร่อยไปหมดได้ยังไง? ข้าพเจ้าโกหกไม่เป็น และ ไม่ชอบโกหก ขอยืนยันอีกครั้ง ว่าอร่อยครับ อร่อยมากจริงๆ เมื่อเตรียมการทุกอย่างพร้อม คุณแม่ครัวใหญ่ พร้อมลูกมือทั้งสาม ยังมีเวลาเหลือพอ จึงได้โอกาสนั่งพักและรับประทานอาหารเล็กๆ น้อยๆ เป็นเวลาที่เปี่ยมสุขจริงๆ ครับ
เมื่อเขียนมาถึงตอนนี้ ก็รู้สึกว่า กระทู้นี้ ข้าพเจ้าเขียนเล่าเรื่องอาหารแบบที่ว่า กลายเป็น "ชัยชวนชิม" หรือ คุณชายถนัดชิม ตามที่คุณหน่อง (เสาวณีย์) เคยให้สมญาไว้ รู้สึกว่าจะเขียนได้คล่องมากไปหน่อย นึกดูอีกที คงเพราะที่นี่ เป็นบ้านของคุณนภา ที่เก่งมากเรื่องการทำอาหาร และ ไม่เท่านั้น ยังมีคุณเอ๋ จากร้านคาวบอย ราชบุรีอีกคน คงจะเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้า เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวของอาหารเสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อคิดเข้าข้างตนเอง ก็รู้สึกว่าจะดี ที่แต่ละเรื่องแต่ละสถานที่ ที่ได้นำมาบอกเล่าให้ฟัง ล้วนมีความแตกต่าง ไม่เหมือนกันเลย แสดงความแตกต่างกันไป ตามเหตุ ตามปัจจัย รวมถึง แม้บุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละสถานที่ ให้สังเกตุได้ถึงอัธยาศัยที่สะสมมา ซึ่งก็ไม่พ้นคำจริง วาจาสัจจะ ที่ทรงแสดงไว้ว่า สัตว์โลก เป็นที่ดูผลของบุญและบาป หากเป็นผู้ที่มีความเข้าใจขึ้น จากการที่ได้ศึกษาพระธรรม ย่อมเป็นผู้ที่ละเอียดขึ้นในการพิจารณาสรรพสิ่งที่เป็นไปในทุกๆ วัน ตามคลองของพระธรรม ที่มั่นคงอยู่ในใจ
ความที่เป็นผู้ที่มั่นคงขึ้นในธรรม เมื่อได้พบ ได้เห็น เรื่องราวต่างๆ ที่ปรากฏ ย่อมน้อมไปสู่ความเข้าใจ แม้ในขั้นของเรื่องราว ถึงบุคคลที่กระทำความดี ให้ได้รู้สึกอนุโมทนา ในกุศลทุกประการของท่านเหล่านั้น ทั้งยังเป็นแบบอย่างแก่ใจว่าเพราะเหตุแห่งกุศลกรรมของท่านเหล่านั้นโดยแน่แท้ ที่ยังผลให้มีความไพบูลย์ พรั่งพร้อมด้วยโภคทรัพย์ และประการสำคัญที่สุด คือ อริยทรัพย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใด ในสากลจักรวาล ผลของกุศลกรรมประการต่างๆ อันมีปัญญาเป็นยอดนั้น แสดงให้เห็นแม้ในปัจจุบันชาติ ที่เป็นผู้ได้รับรสดี ด้วยอาหารชั้นเลิศเช่นนี้ โดยบ่อย ได้ยินเสียงของพระธรรมและเสียงของกัลยาณมิตร ที่กล่าวแต่คำที่ไพเราะ จากใจที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา ได้กลิ่นดีๆ จากอาหารชั้นเลิศ จากสถานที่ ที่แวดล้อมไปด้วยบรรยากาศรื่นรมย์ สดชื่น กลิ่นไอของดอกไม้ สายน้ำ ภูเขา และ ทะเล เป็นต้น ถ้าไม่ใช่เพราะกุศลกรรมที่ได้ทำไว้ สิ่งเหล่านี้ ย่อมปรากฏไม่ได้เลยความเข้าใจนี้เอง ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้บุคคล ยิ่งแนบแน่นมั่นคงขึ้นในกรรม ซึ่งน้อมนำไปสู่ขณะของความดีทุกๆ ประการ ที่จะปรากฏเป็นไป ในชีวิตประจำวัน และ ที่สำคัญ คือ ความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นว่า ทั้งหมด เป็นแต่ธรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น
ก่อนเวลาที่ท่านอาจารย์และคณะจะมาถึง พี่ปริญญา สีดาโสม และ พี่เบญจมาศ ภรรยา ก็เดินทางจากหนองหญ้าปล้อง เพชรบุรี มาถึงล่วงหน้าแล้ว และ พี่เบญจมาศนี้เอง ที่เป็นปัจจัยให้ท่านอาจารย์ได้กล่าวธรรมเกื้อกูล ในโอกาสนี้ ทำให้คุณแอ๊ว รู้สึกดีใจมาก และกล่าวกับข้าพเจ้าว่า ไม่นึกไม่ฝันเลย ว่าจะมีโอกาสพิเศษนี้ เพราะแต่เดิม ท่านอาจารย์และคณะฯ จะมาที่นี่เพียงรับประทานอาหาร ซึ่งก็จะไม่มีกระทู้นี้เกิดขึ้นด้วย เพราะเหตุว่า เป็นกาลของการรับประทานอาหารเท่านั้น
แต่เป็นเพราะบุญแต่ปางก่อนโดยแท้ ที่ทำให้บ้านพักตากอากาศหลังนี้ กลายเป็นสถานที่อันเลิศ เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่มีค่ายิ่งในสังสารวัฏฏ์ไปแล้วในตลอดช่วงระยะเวลา ที่เสียงของพระธรรม ก้องกังวาล อบอวล อยู่ในบ้านหลังนั้น อันเป็นมงคลอย่างยิ่ง อย่างแท้จริง ณ เวลานั้น ด้วยความเมตตายิ่ง จากท่านผู้มีนามในปัจจุบันชาตินี้ว่า ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความบางตอนของการสนทนา ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนากับพี่เบญจมาส สุขสำราญ ซึ่งเต็มไปด้วยความไพเราะอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์ ใช้คำง่ายๆ ธรรมดาๆ แต่เกื้อกูลแก่ความเข้าใจมาก ควรที่บุคคลผู้ใหม่ และ ทุกผู้ ทุกนาม จักได้ฟังและพิจารณา เพื่อประโยชน์ ทั่วกันครับ ธรรมะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังครั้งใด ก็เหมือนการเริ่มต้นใหม่ ทุกครั้ง นะครับ
ท่านอาจารย์ คุณเบญฯ อธิษฐานทุกครั้ง ว่าขอให้มีปัญญา อันนี้ ดีมาก แต่ทีนี้ พระพุทธเจ้า ท่านไม่ใช้คำว่าปัญญา เฉยๆ เพราะถึงแม้เราจะใช้คำว่าปัญญา แต่เราก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่า "ปัญญา" คือ อะไร? เพราะฉะนั้น ปัญญาตัวจริง ปัญญาจริงๆ คือ ความเข้าใจถูก ทีนี้ เข้าใจถูกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน จากการที่ทรงตรัสรู้ เราก็น่าคิดว่า ท่านเข้าใจอะไร? ใช่ไหม? อยากรู้มากใช่ไหม? ว่าต้องเป็นสิ่งที่ถูก ที่ท่านตรัสรู้
คุณเบญฯ ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่เท่าที่ศึกษา เท่าที่เรียนมาทั้งหมด สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะว่า เกิดแล้ว ตามเหตุ ตามปัจจัย เพราะฉะนั้น อย่างเราได้ยินคำที่ชินหู "ธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา" ไม่มีใครปฏิเสธ ใช่ไหม? "อนัตตา คือ อะไร?"
คุณเบญฯ ไม่มีตัวตน
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ความหมายของอนัตตา มีหลายอย่าง แต่ทั้งหมด คือ ความหมายเดียวกัน คือ สิ่งที่มี ไม่ใช่ของเราแน่นอน ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันมี ระหว่างที่มี "จิต" แต่พอจิตไม่อยู่ พวกนี้จะเป็นของเราไม่ได้ ตามไปก็ไม่ได้ ถึงแม้ "จิต" ก็ไม่ใช่ของใคร อันนี้ คือ ความหมายของอนัตตา ถ้าไม่มีปัจจัย สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง เวลานี้ เราไม่ได้ศึกษาตามคำสอน ส่วนใหญ่ คนจะบอกว่า พระพุทธศาสนา ยากเกินไป แต่ความจริงไม่ใช่ ทีนี้ ความคิดของคุณเบญฯ คิดได้ ตามที่เราได้ยินได้ฟังมาบ้าง ผสมกัน แต่ ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า คุณเบญฯว่า ลึกซึ้งไหม?
คุณเบญฯ ลึกซึ้งมากค่ะ
ท่านอาจารย์ ที่สุดเลย นะคะ เพราะฉะนั้น สำหรับดิฉัน คิดว่า เรา "คิดเองไม่ได้เลย" และ เราไม่ประมาท เหมือนอย่างกับ ตอนปัจฉิมวาจา ว่า จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม เรา "ประมาทในการฟัง" และ ในการ "คิดเอง" หรือเปล่า? ทุกคำ จะนำไปสู่การที่เราเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย แต่ละคำ ถ้าเราไม่เผิน แค่คำเดียว ถ้าเราเข้าใจจริงๆ
คุณเบญฯ คือ เข้าใจ ไม่ต้องจำ นะคะ?
ท่านอาจารย์ ไม่ต้อง ไม่ต้องเลย
คุณเบญฯ เพราะเคยได้ยินอาจารย์สอนครั้งหนึ่ง มีคุณผู้ชายถาม แกบอกว่า ผมก็พยายามจะจำ อาจารย์ตอบว่า ถ้าคุณใช้คำว่า พยายามจำ แปลว่าคุณยังไม่รู้ เมื่อไหร่ที่รู้ ไม่ต้องจำ เขาจะจำของเขาเอง ถ้าคุณใช้คำว่า พยายามจำ อันนั้นยังไม่ใช่
ท่านอาจารย์ ตัวตน
คุณเบญฯ ก็ยังจำคำพูดของอาจารย์ในเทปนั้น ที่คุณปริญญาฟังอยู่ คือ จะไม่นั่งฟังตลอด ผ่านไปผ่านมา แล้วก็จะเอามาทีละนิด ถ้าเยอะๆ รับไม่ได้ ยอมรับ เรียนหนังสือไม่เก่ง ครูพักลักจำ ทำได้แต่ถ้าให้นั่งเรียน นั่งฟังนานๆ มันไปไม่ได้ แต่ถ้าผ่านๆ เอามาทีละนิด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราเผินๆ กับคำว่า "ปัญญา" อันนี้ เราเผินมาก แต่ความจริง ปัญญานี้ "เริ่ม" ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องมีการตั้งต้น เราไปคิดถึง ปัญญาตรัสรู้นี่ มากมายมหาศาล และปัญญาที่เขาฟังกันมาก็มากมายมหาศาล แต่ต้องมีการเริ่มต้นที่ถูกต้อง คือว่า เป็นคำของพระพุทธเจ้า จริงๆ อย่างเดี๋ยวนี้ มีอะไรเป็นของคุณเบญฯบ้าง?
คุณเบญฯ ไม่มีค่ะ
ท่านอาจารย์ อะไรบ้าง ที่ไม่มี? เวลานี้ ถ้าไม่มีจิต จะมีอะไรปรากฏไหม? ในโลกนี้
คุณเบญฯ ถ้าไม่มีจิต จะมีอะไรปรากฏ? ถ้าไม่มีจิต จะมีอะไรปรากฏไหม? (คุณเบญฯ คิดและทบทวนคำถาม ของท่านอาจารย์)
ท่านอาจารย์ เวลานี้ คุณเบญฯ มีจิต ทุกคน มีจิต ใช่ไหม? แต่ ความลึกซึ้ง ก็คือว่า เราพูด ในสิ่งที่เราไม่รู้จัก ตราบใดที่เรา ยังไม่เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้น "จิต" ทุกคนมี แต่ถ้าไม่มีใครศึกษา พูดกันไป ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ไม่รู้ว่า จิต คือ อะไร?
เพราะฉะนั้น เราถึงได้ว่า เราไม่อยากจะเกิดมา แล้วก็เพียงแต่จำ เพียงแต่คิด แต่ อยากเข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ ที่เราได้ยิน เพราะ มันมี "ตัวธรรมะ" มันไม่ใช่มีแต่ชื่อ มาให้เราจำ แต่มันมี ตัวจริงของธรรมะ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง อย่าง "โลภะ" ความติดข้อง เป็น "จิต" หรือเปล่าคะ? ลองคิดไปเรื่อยๆ ค่ะ
คุณเบญฯ โลภะ เป็นจิตหรือเปล่า? คงตอบไม่ได้ค่ะอาจารย์ ต้องขอใช้คำนั้นดีกว่า เราอย่าไปฝืน อย่าไปเดา ว่า เป็น หรือ ไม่เป็น ถ้าเป็นการเดา อาจจะเดาถูก หรือ เดาผิด ขอตอบว่า ไม่ทราบค่ะ ยังไม่ทราบ
ท่านอาจารย์ ดีมาก ดีมาก อยากทราบไหม?
คุณเบญฯ อยากค่ะ
ท่านอาจารย์ ไปทานข้าวก่อน (หัวเราะ)
คุณเบญฯ โลภะ เป็นจิต หรือเปล่า? ใช่ไม๊คะ? ตอบว่า ไม่ทราบค่ะ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะเหตุว่า เรายังไม่รู้จัก "จิต" แล้วเราได้ยินชื่อว่า "โลภะ" แต่จริงๆ แล้ว เราก็ยังไม่รู้ว่า โลภะ คือ อะไร? มันอยู่ไหน? เดี๋ยวนี้ มีไหม?
คุณเบญฯ ก็ยังไม่ทราบค่ะ ไม่ทราบจริงๆ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ความติดข้อง ความต้องการ ไม่ว่าในอะไรทั้งหมด ที่เราใช้คำว่า อุปาทานขันธ์ เราพูดคำนี้มามาก ใช่ไหม? เราก็ควรที่จะ "เข้าใจ" ว่าคำนี้ แต่ละคำ คือ อะไร? อุปาทาน คือ ความยึดมั่น และ ขันธ์ หมายความถึง อะไรก็ตาม ที่มี ปรากฏเดี๋ยวนี้ ต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด ไม่มี แต่ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ทรงตรัสรู้สิ่งที่เกิดแล้วนี้ ดับ เราได้ยินคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตรงทุกอย่าง "ทุกคำ" ที่เราจะได้ยินต่อไปนี้ ก็ต้องสอดคล้องกันหมด
สิ่งหนึ่ง สิ่งใดก็ตามที่เกิด ต้องดับ นั่นคือ ความหมายของ "ขันธ์" เราไปยึดมั่น ในสิ่งที่เกิด มีปรากฏให้เรารู้ แต่เราไม่รู้ ว่ามันดับไป เพราะฉะนั้น เราจะดับอุปาทานไม่ได้เลย ตราบใดที่เรายังไม่รู้จักว่าสิ่งที่เราพอใจขณะนี้ เพียงแต่เกิด แล้วก็ดับไป ถูกต้องไหม?
ขณะนี้ มีสิ่งที่ปรากฏ สิ่งนั้น ต้องเกิด ถ้าไม่เกิด ไม่มี แต่ ความที่เราไม่รู้ ต่างกับที่ พระพุทธเจ้า "รู้" คือ เราไม่รู้ว่า สิ่งซึ่งกำลังมีปรากฏเดี๋ยวนี้ มันดับ จึงได้ต่างกัน ระหว่างพุทธะ กับ เรา แต่ว่า เราสามารถจะ ได้ยิน ได้ฟัง "คำจริง" ซึ่งกล่าวถึง สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ได้ ให้เราค่อยๆ เข้าใจ พระพุทธเจ้า ให้เราค่อยๆ เข้าไปใกล้ อุบาสก อุบาสิกา หมายความถึง ผู้ที่เข้าไปนั่งใกล้
เพราะฉะนั้น แต่ก่อน เราอยู่ไกลมาก จากพระพุทธเจ้า ไม่เคยเข้าไปนั่งใกล้ ที่จะได้ยินพระสุรเสียงหรือ "คำตรัส" กับพระภิกษุ ในครั้งโน้น และท่านเหล่านั้น ก็เก็บรักษา จนมาถึงเรา เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตาม ที่ได้ฟังคำจริง คือ วาจาสัจจะ แปลว่า เราเริ่ม เข้ามานั่งใกล้พระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะที่ พระวิหารเชตวัน หรือ ที่ไหนก็ตาม เพราะว่า เป็นพระดำรัส จากพระโอษฐ์ ด้วยเหตุนี้ ทุกคำ อย่างคำว่า อุปาทาน มีการยึดมั่น ติดข้อง สละได้ยากเหลือเกิน เพราะเหตุว่า ความพอใจ มีหลายระดับ ใช่ไหม? อย่างนี่ อร่อย เราพอใจแล้ว แต่ว่า อุปาทาน สะสมความติดข้อง จนกระทั่งละยาก เพียงแค่คนที่เขาติดข้อง ในเรื่องสนุกๆ อาจจะละคร หนังสือพิมพ์ สนทนากับเพื่อน การละเล่นต่างๆ ทั้งหมด แล้วชวนเขามาฟังคำจริง ของพระพุทธเจ้า เขามาไม่ได้ เพราะว่า มันยากแสนเข็ญ เพียงที่จะพราก จากสิ่งที่เป็นชีวิตประจำวัน ที่เราพอใจ จนเราละไม่ได้ จนกระทั่งมาฟัง แล้วจนกว่าเราจะละขันธ์ ที่เราเคยยึดถือ ในสิ่งที่เกิดดับ ไม่เที่ยง นี่คือคำสอนจริงๆ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณเบญฯ อยากจะทราบคำไหน มีในพระไตรปิฎก ทั้งหมด
ตอนนี้ รู้จักคำว่า "โลภะ" แต่ "โลภะ" ไม่ใช่จิต เพราะว่า บางครั้งมีโลภะ บางครั้ง ไม่มีโลภะ ไม่ได้มีโลภะตลอด เวลาโกรธ ไม่มีโลภะ เพราะฉะนั้น โลภะ ไม่ใช่จิต เพราะอะไร? เพราะ "จิต" มีตลอดเวลา ไม่มีสักขณะเดียว ซึ่งไม่มีจิต ตั้งแต่เกิดมาก็มีแล้ว เพราะว่าเป็นจิตที่เกิด แต่เราไม่รู้ เพราะ "ความไม่รู้" เราจึงยึด "จิต" ว่า "เป็นเรา" เป็นเราทั้งนั้นเลย เป็นคนนั้น คนนี้ แต่ถ้าไม่มีจิตตรงนี้ ไม่มีคนแล้ว นี่ก็ไม่มี ถ้าไม่มีจิต แต่เพราะมีจิต ก็มีคน เพราะไม่รู้ว่า แท้ที่จริง "คน" ถ้าไม่มีจิต ไม่มี ใช่ไหม? จิต ก็เป็นธาตุรู้ "เดี๋ยวนี้" ค่ะ ตามี แต่ไม่เห็น หูมี หูก็ไม่ได้ยิน แต่เป็นที่อาศัยของธาตุรู้ เกิดขึ้นได้ยิน แล้วดับ นี่ค่ะ หมดแล้ว เสียงก็ดับ ได้ยินก็ดับ
เพราะฉะนั้น เราเริ่มเข้าใจ แต่ละคำ "อนิจจัง" ต้องหมายถึงสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริง ไม่เที่ยง "ทุกขัง" สิ่งที่เกิดแล้วดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วไม่เหลือเลย สักนิดหนึ่ง เมื่อกี้นี้ ขนมจีนน้ำพริก ก็อร่อย อร่อยหมด แล้วเดี๋ยวนี้อยู่ไหน? ไม่กลับมาอีกเลย
คุณเบญฯ ไปแล้ว ลงท้อง (หัวเราะ) นอกจากเราจะทานใหม่อีกครั้ง
ท่านอาจารย์ ไม่กลับมาอีกเลย ไม่ใช่อันเก่า นี่คือ ความหมายของขันธ์ นี่คือ สังสารวัฏฏ์ มีแต่เกิด แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ตอนเราเกิดมาเป็นเด็กเล็กๆ สนุกสนานจนถึงเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย จะไปคิดถึงหัวหิน ชายหาด อะไรต่อไป มันไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ คนละเรื่อง คนละอันแล้ว กลับไปใหม่ มันก็ไม่ใช่อันเก่า
แต่เราไม่รู้ เราถึงได้ติด จนกว่าจะมีผู้ตรัสรู้ความจริง และ สอน ละเอียดยิบ แล้วก็สอนให้เราเกิดความเห็นถูก พิสูจน์ได้ทุกขณะ ถ้าคำสอนไหน ไม่ใช่คำสอนที่ทำให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ คำสอนนั้น ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะอะไร? ถ้าไม่มีเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะไปรู้อะไร? สอนให้เราเข้าใจอะไร? (ถ้า) มันไม่มี
คุณเบญฯ มันไม่มีปรากฏให้เราได้เห็น ได้สัมผัส
ท่านอาจารย์ ค่ะ ใช่ เพราะฉะนั้น คำสอนของพระพุทธองค์ จะต่างกับคำสอนของคนอื่นหมด เพราะว่า พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ให้คนที่กำลังฟัง ได้พิจารณา ได้เข้าใจว่า คำพูด ที่พระองค์ตรัส มาจากการทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่น บอกเราไม่ได้เลย ว่าขณะนี้ เกิดแล้วดับ ทุกอย่าง สั้นแสนสั้น แต่มันต่อกันเร็วมาก จนเหมือนไม่ปรากฏว่าดับเลย เหมือนลูกข่าง
คุณเบญฯ เหมือนกระแสไฟฟ้า ไม๊คะ?
ท่านอาจารย์ ไม่คิดเลย คือ เวลาเราฟังธรรมะนี่ ความคิดเดิมของเราทั้งหมดนี้ ทิ้งไป เพราะไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เราเอาความคิดของบางคน เราอาจจะเชื่อว่า เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักปราชญ์ อะไรก็ตามแต่ แต่เขาไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเรายังเอาคำนั้นมาเก็บไว้ โดยที่ว่า "คำของพระพุทธเจ้า" เราไม่ได้เข้าไปในใจเลย เพราะ เราไปนั่งเปรียบเทียบ หรือว่า ไปนั่งคิด ถึง "คำอื่น"
เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟัง ก็เอา "คำของคนอื่น" มาเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้า เรายังไม่รู้เลย ว่ามันคืออะไร? แค่ได้ยินคำนี้ และพอได้ยินแล้ว ค่อยๆ เข้าใจ ทีละน้อย ตาม "คำ" ที่ได้ยิน ถ้าเราได้ยินเพียงเท่านี้ เราไม่เข้าใจจิตมาก เท่าที่จิต เป็นจริงอย่างนั้น แต่พอได้ยินมากขึ้นๆ ๆ เราเริ่มรู้จัก "จิต" ละเอียดยิบ ทุกวัน ทุกขณะ แม้แต่เดี๋ยวนี้ ทรงแสดงไว้ ไม่ให้ใครต้องไปคิดเองเลย "คิดเอง" ผิดค่ะ ผิดแน่นอน!!!
เพราะฉะนั้น ถ้าเรากล่าวว่า เรามีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง เราเป็นคน "ตรง" แล้วก็ "จริงใจ" พระรัตนตรัย มี ๓ คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรม และ พระสงฆ์ ใช่ไหม? พระพุทธรัตนะ คือ ผู้ที่เรานับถือ กราบไหว้ โดยไม่รู้จัก จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม พอได้ฟังพระธรรม เราเริ่มเห็นแล้ว นี่คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่เหมือนใครเลยทั้งสิ้น แม้แต่ในสากลจักรวาล พรหม ยังมาเฝ้า เทวดาก็มาเฝ้าเพราะว่า ตรัส "คำจริง" ซึ่ง "คนอื่น" ไม่สามารถจะรู้ได้เลย "ทุกคำ" เห็นไหม? ก่อนนั้น เราก็ไม่รู้ โลภะ เราก็ไม่รู้ เราได้ยินแต่ อุปาทานขันธ์ ก็ไม่รู้ จิต ก็ไม่รู้ แต่ว่า ทั้งหมด จะรู้ เมื่อได้ศึกษามากขึ้น ในภาษาของตนๆ เพราะฉะนั้น เราจะพูดภาษาไทย พูดภาษาไทย แล้วเราก็บอกว่า ภาษาบาลี ที่พระพุทธเจ้าตรัส ใช้คำนี้ แต่ไม่ใช่ เราไปเอาคำมาก่อน อุปาทานขันธ์ นี่ ได้ยิน ไม่ใช่ภาษาไทย เราก็ไม่รู้ ว่ามันคืออะไร? ใช่ไหม?
แต่เราจะไม่เป็นอย่างนั้นเลย เรารู้ว่า สิ่งที่มีจริง ใช้ภาษาอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาที่เราไม่รู้เรื่อง เราไม่ได้พูดภาษาบาลี เราก็ไม่ได้เรียนบาลี แล้วเอาคำบาลีมาให้เรา แล้วอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ แต่ความจริง ผิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ฟังในภาษาไหน ภาษาอังกฤษ จะบอกว่าเห็น เขาไม่ใช้ภาษาไทยใช่ไหม? อย่างเราบอกว่า สิ่งที่มีจริง คนไทยทุกคน เข้าใจ แต่ว่า ตอบไม่ได้ ว่าเดี๋ยวนี้ อะไรมีจริง? ลองตอบสิ?
คุณเบญฯ อะไรมีจริง?
ท่านอาจารย์ เห็นไหม? ภาษาไทยแท้ๆ
คุณเบญฯ ขนาดภาษาของเราเอง พอเราเจอคำถาม เรายังตอบไม่ได้ อะไรที่มีจริง?
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง!!! เพราะฉะนั้น ชาวเมืองมคธ เมืองอะไรก็ตามที่ไปเฝ้า เขาก็พูด ที่พระพุทธเจ้าตรัส แต่ ต้องฟังคำ ที่หมายถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ทุกคำ ที่เราได้ยิน เราจะรู้ได้ว่า มีจริงหรือเปล่า? แต่ว่า เราเข้าใจแค่ไหน?
อย่างเดี๋ยวนี้!!! ถามคุณเบญฯว่า เดี๋ยวนี้ อะไรมีจริง?
คุณเบญฯ ขณะนี้ อะไรมีจริง? ถ้าให้ตอบ....
ท่านอาจารย์ ที่มูลนิธิฯ เขาจะชอบมีเสียงกระซิบ (ทุกคนหัวเราะ) เพราะอะไร? น่าขำ น่าขำที่สุดเลย น่าขำที่ว่า บอกเขาทำไม?
คุณเบญฯ ให้เขาคิดเองหรือคะ?
ท่านอาจารย์ ให้เขาตอบถูก นี่มันเรื่องอะไร? มันเรื่องอะไรของเรา? เราไม่ได้เป็นเพื่อนที่ดีกับเขาเลย อยู่ดีๆ ถามให้ "คิด" แล้วมาตอบให้เขา เขาก็ไม่ต้อง "คิด" แล้วเขาก็ไม่รู้ แล้วไปถามเขาทำไม?เราถาม เพราะต้องให้เขา "คิด" เป็น "ปัญญา" ของเขาเอง
คุณเบญฯ อะไรที่มีจริงขณะนี้????
ท่านอาจารย์ ค่ะ เดี๋ยวนี้ อะไรที่มีจริง?
คุณเบญฯ ขณะนี้ใช่ไหมคะ? ถ้าตอบตามปัญญาที่มีอยู่ กำลังนั่งสนทนาธรรมกับอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ ทั้งหมดนี้ ไม่รู้จักสักอย่าง "กำลังนั่ง" ก็ไม่รู้ว่า อะไรนั่ง? สนทนา....
คุณเบญฯ เพราะเราถูกสอนมาว่า ท่านี้ คือ ท่านั่ง
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องสอน เราก็รู้ ว่าเรานั่ง (หัวเราะ) ไม่ต้องเรียกว่า "ท่า" ด้วย เขาสอนให้เราเข้าใจผิด เพราะอย่างไร นั่งมันก็มี นอนก็มี เพราะฉะนั้น ที่บอกว่า กำลังนั่ง คือ เราคุ้นเคยกับการจำ ด้วยความไม่รู้ความจริง เช่น เดี๋ยวนี้ เห็นถ้วยแก้ว ไม่ใช่ ถ้าไม่มีสิ่งที่สามารถกระทบตา ที่จิตจะเกิดขึ้นเห็น ถ้วยแก้วไม่มี
ต้องมี "เห็น" ใช่ไหม? แล้วก็ต้องมี "สิ่งที่ถูกเห็น"
คุณเบญฯ คือ แก้ว???
ท่านอาจารย์ ยัง ยัง ยัง เพียงแค่ ต้องมี "เห็น" ก่อน แล้วก็มี "สิ่งที่ถูกเห็น" มี "เห็น" โดยไม่มี "สิ่งที่ถูกเห็น" ได้ไหม?
คุณเบญฯ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ กำลังเห็น ใช่ไหม? เห็นอะไร?
คุณเบญฯ เดี๋ยวนี้ เห็นท่านอาจารย์ เห็นถ้วยแก้ว เห็น....
ท่านอาจารย์ (หัวเราะ) อันนั้น เพราะเราไม่รู้ไงคะ? ถ้ารู้ เราจะรู้เลย ว่า "เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้"
คุณเบญฯ เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้?
ท่านอาจารย์ เห็น "แข็ง" ไม่ได้ เห็น "หวาน" ไม่ได้ เห็น "ขม" ไม่ได้ เห็น "เสียง" ไม่ได้
แต่ ขณะนี้ ไม่ต้องพูดสักคำ ก็มี "สิ่งที่กำลังถูกเห็น" แล้ว กำลังปรากฏให้เห็นแล้ว ไม่ต้องเรียกอะไรไม่ต้องเรียกว่า "ถ้วยแก้ว" ไม่ต้องเรียกว่า "คน" แต่พอ "เห็นเกิด" ต้องมี "สิ่งที่ถูกเห็น" นี่คือ คำสอนของพระพุทธเจ้า และ ถ้าเราไม่ฟัง เราจะมีปัญญา อย่างที่อธิษฐาน ไหม? ขอให้มีปัญญา ตอนนั้น เรายังไม่รู้ว่า (ปัญญา) รู้อะไร? แต่ตอนนี้ เรารู้ว่า ปัญญา คือ รู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ชัดเจน รู้อื่น ไม่ได้ มี สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น "ปัญญา" เข้าใจถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ
คำเดียว ต้องอธิบายเสียยาว ใช่ไหม? เพราะว่า ต้องใช้ "คำ" "ทุกคำ" ที่พูด มาจากพระปัญญาคุณ ที่ทรงตรัสรู้ พูด ๔๕ พรรษา เพื่อให้แต่ละคน มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจ ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีโอกาสจะได้ยิน แม้แต่คำว่า "ธรรมะ" ในภาษาบาลี ภาษาไทย คือ "สิ่งที่มีจริง" ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ "ศึกษาธรรมะ" คือ "ศึกษา เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ"
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านพักตากอากาศ ของ คุณนภา จันทรางศุ ธรรมะ จัดสรรให้ทุกๆ ท่าน ที่มีบุญที่ได้กระทำไว้แล้ว แต่ปางก่อน ให้ได้พบกับเสียงของพระธรรม โดยไม่คาดคิดมาก่อนเลย ทั้งท่านเจ้าของบ้านที่กล่าวด้วยความปลาบปลื้มใจอย่างยิ่ง ว่าไม่คิดไม่ฝันไว้เลย และแม้สหายธรรมทุกๆ ท่าน ที่มีโอกาสได้รับ ไม่เพียงอาหารที่เลิศ แต่เป็น ขณะของพระธรรม ที่ เลิศที่สุด ในสังสารวัฏฏ์ ที่ทุกบุคคล ได้รับแล้วเฉพาะหน้าในวันนั้น โดยไม่ได้คาดคิด ไม่ได้ฝันมาก่อน
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านเจ้าของบ้านทั้งสอง คือ คุณประกิต และ คุณนภา จันทรางศุ (คุณแอ๊ว)
ขออนุโมทนาพี่เบญจมาศ และ พี่ปริญญา ที่เป็นปัจจัยให้ได้ฟังธรรมในวันนี้
ขออนุโมทนา คุณพรทิพย์ ถูกจิตร คุณสุภาพร และ คุณธนพร ภู่งาม (น้องตอง) สามลูกมือคนสำคัญ ที่ช่วยให้งานนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์และขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของพี่นภา และ คณะ
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพีวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณนภา และ คณะ
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอกราบอนุโมทนาและขอบพระคุณทุกๆ ท่านด้วยความซาบซึ้งใจด้วยคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ น้องนภา (คุณแอ๊ว) และ คณะ
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ คุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ
ขอบพระคุณ สาธุ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ด้วยความเคารพยิ่ง
จาก ใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี