ระงับวิบากด้วยสติปัญญาอย่างไร
มีวิบากที่ต้องได้รับฟังการระบาย เล่าเรื่องความทุกข์ หรือความไม่เป็นธรรม หรือความไม่ดีของคนอื่นเป็นประจำ บางเรื่องก็ช่วยได้ บางเรื่องก็เกินความสามารถ แถมยังทำให้เราวางไม่ได้ ต้องแบกมาคิดต่อ เป็นอกุศลแน่นอน เพราะเห็นว่าไม่ควรเป็นอย่างนั้น บางเรื่องแม้ทำอะไรไม่ได้ก็อยากเล่าต่อถึงความไม่ดีของคนที่เขาพูดถึง ก็คงเป็นอกุศลอีก แต่เรียกไม่ถูกว่าเป็นอะไร คล้ายๆ อยากให้คนอื่นรู้ว่า คนนั้นไม่ดีนั่นแหละค่ะ แต่ฟังท่าน อ. บรรยายเรื่องกรรมก็คิดว่า ที่เราต้องได้ฟังเรื่องพวกนี้ก็เพราะกรรม แล้วเราจะทำกรรมด้วยการเล่าต่ออีกหรือ ก็พอระงับได้ แต่คอยดูเถอะ ถ้ามีใครเปิดวงสนทนาเรื่องนี้ อาจเผลอได้ ขอความกรุณาวิทยากรสนทนาธรรมประเทืองปัญญาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเป็นเราฝังแน่น ติดตรึงเสมอ สะสมมาแสนโกฏิกัปป์ นับชาติไม่ถ้วน เมื่อยังไม่ได้ศึกษาธรรม ก็ไม่รู้ว่า กุศล อกุศล ก็ใช้ชีวิตปกติ เป็นไปอย่างนั้น ทั้งไม่รู้ความจริงด้วย แต่เมื่อเริ่มได้ศึกษาธรรม เริ่มเข้าใจจากขั้นการฟัง เข้าใจว่าอกุศลไม่ดี กุศลดี แต่เพราะสะสมกิเลสมามาก กิเลส ความไม่ดีก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแม้ขณะนี้ ไม่ต้องพูดถึงขณะที่พูดความไม่ดีคนอื่น เพียงเห็น อกุศลเกิดแล้ว กิเลสเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งความไม่รู้ อวิชชา เป็นต้น ที่เกิดขึ้นเป็นไป นี่แสดงให้เห็นถึงกำลังของกิเลสที่รวดเร็ว และเมื่อได้ศึกษาธรรม เห็นโทษของอกุศลในขั้นการฟังว่าไม่ดี แต่เมื่อไม่ได้เข้าใจความจริงในความเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นปกติ และไม่ใช่เรา จึงเดือดร้อน กับอกุศลที่เกิดขึ้น เพราะเข้าใจด้วยความเป็นเราเสมอว่า เป็นเราที่เป็นอกุศล และจะเริ่มหาวิธีว่าจะทำยังไงไม่ให้ความไม่ดีเกิดขึ้น นี่แสดงถึงความเป็นเราที่เหนียวแน่น เป็นเราด้วยตัณหา และด้วยความยึดถือว่าเป็นเรา และก็ทำให้แสวงหาหนทางที่จะทำ จะหาวิธีละกิเลส แท้ที่จริง หนทางการละกิเลส ไม่ใช่อื่นไกลเลย คือ การเข้าใจกิเลส เข้าใจความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ ที่เข้าใจถูกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ
คิดมีจริง อกุศลจิตเกิดขึ้นแล้วมีจริง ล้วนแล้วแต่เป็นธรรม แสดงถึงสภาพธรรมที่เรียกว่า ปกติ ปกติ คือ เกิดแล้วเป็นไป ทั้งกุศล อกุศล เป็นธรรม ไม่ใช่เราที่เป็นอกุศล หนทางที่ถูก คือ มีชีวิตเป็นไปตามการสะสม พยายามฝืนจะทำ ไม่ใช่หนทางการละกิเลส แต่เพราะอาศัยการเข้าใจความจริงว่า อกุศลเป็นธรรมไม่ใชเ่รา และเป็นอนัตตา มีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น ก็เริ่มสะสมสัจจญาณ ความมั่นคงในสภาพธรรม ที่ไม่ใช่เรา ก็จะทำให้เดินในหนทางการละกิเลสที่ถูกต้อง คือ การเข้าใจความจริงในสภาพธรรมที่ปรากฏว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ
เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องทำอย่างไร หนทาง คือ ฟังต่อไป มีเหตุปัจจัยก็เกิดกิเลสเป็นปกติ เมื่อเข้าใจถูก แม้อกุศลเกิดขึ้นก็ไม่เดือดร้อน เพราะ เกิดแล้วเป็นธรรม เมื่อปัญญาเจริญขึ้น กาย วาจาจะดีขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ข้อวัดของปัญญาที่กาย วาจาดีขึ้น เพราะกิเลสยังสะสมเต็ม ตราบใดที่ไม่ใช่พระโสดาบัน จึงไม่ได้มั่นคงเลย มีเหตุปัจจัย กาย วาจาที่ไม่ดีอย่างรุนแรงก็พร้อมเกิดขึ้นได้อีกเสมอ สมกับคำว่า ปุถุชน แต่ สำคัญที่สุด ปัญญาที่เจริญขึ้น ที่แท้จริง คือ เข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิตประจำวัน ไม่พ้นไปจากธรรมเลย ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน เป็นต้น ก็คือธรรมที่มีจริงๆ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ธรรม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ซึ่งเมื่อได้เข้าใจความจริงจากการค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก จากการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน จากที่เคยเป็นอกุศลมากๆ สังขารขันธ์ก็จะปรุงแต่งให้เป็นกุศล คล้อยตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น แม้แต่ในเรื่องที่มีคนอื่นมาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง เขาอาจจะเป็นทุกข์ เดือดร้อน อะไรที่เราพอจะช่วยเหลือเขาได้ ก็ช่วยเท่าที่จะช่วยได้ตามกำลังปัญญาของตนเอง และถ้าหากว่าพยายามแล้ว แต่ช่วยไม่ได้อย่างที่ประสงค์ไว้ ก็จะต้องมีความเข้าใจถึงความที่แต่ละคนมีกรรมเป็นของของตน ความเข้าใจก็จะเกื้อกูลได้โดยตลอด ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด พบเจอกับเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม หรือ ถ้าอกุศลเกิด เศร้าใจ เสียใจ ก็คือ ธรรมที่มีจริงๆ ที่ปัญญาสามารถรู้ได้ว่า เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ความเข้าใจพระธรรม ก็จะคอยประคับประคองอุปการะเกื้อกูล ให้คิด พูด และกระทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เป็นประโยชน์ตน และยังสามารถเกื้อกูลให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ด้วย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
มั่นคงในเรื่องของกรรม ขณะใดที่ได้ยินเสียงที่ดีเป็นกุศลวิบากทางหู เช่น เสียงธรรม ตรงกันข้ามถ้าได้ยินเสียงไม่ดี เช่น เสียงดัง เสียงด่ากัน ก็เป็นอกุศลวิบากทางหู ค่ะ
กราบขอบพระคุณท่านวิทยากรทั้งสองมากค่ะ ที่ให้ความกระจ่าง ด้วยความจริงในสิ่งที่ควรตระหนัก คือ
" ปัญญาที่เจริญขึ้นที่แท้จริง คือ เข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ความเข้าใจพระธรรม ก็จะคอยประคับประคองอุปการะเกื้อกูล ให้คิด พูด และกระทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม เป็นประโยชน์ตน และยังสามารถเกื้อกูลให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ด้วย"
อกุศลเกิดเพราะได้ยินเสียง ความไม่ชอบ เพราะได้ยินเสียง ไม่มีอะไรเป็นเรา แล้วจะหลงชอบหลงชังอะไรในโลกใบนี้
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียดจริงค่ะ ใช่ไหมคะ