ตายแล้วฟื้นมีจริงหรือ
ขอเจริญพร อาจารย์สุจินต์ และกัลยาณมิตรทุกท่าน พอดีได้ดูวิดิโอที่พระอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านแสดงธรรมในยูทิวป์ ในหัวข้อเรื่องตายก่อนตาย ในวิดีโอท่านเล่าไว้ว่ามีคนรู้จักของท่านคนหนึ่ง (คิดว่าคงเป็นญาติของท่าน) เขาตายไปหลายวันแล้วก็ฟื้นขึ้นมา เลยเกิดความสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะตามที่รู้มานามและรูปต่างอิงอาศัยกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งดับสลายอีกฝ่ายย่อมสลายไปด้วยกัน เมื่อจุติจิตเกิด ปฏิสนธิย่อมเกิดขึ้นโดยไม่มีระหว่างคั่น หมายความว่าสัตว์นั้นย่อมเกิดในอัตภาพใหม่ในทันทีเมื่อตายลง เคยลองถามในแฟนเพจที่สร้างโดยศิษย์ของวัดนี้ คำตอบ "หลวงพ่อท่านเล่าเรื่องของญาติท่าน ที่ตายแล้วฟื้นมาเล่าให้ท่านฟัง ประเด็นอยู่ให้ทำความดี ละความชั่ว ตั้งใจเจริญภาวนา ที่คุณพูดมานั้นก็เป็นเพียงทฤษฎี เป็นสิ่งสมมติบางที่บางอย่าง บางคำ ทฤษฎียังไม่สามารถอธิบายได้หมด ของอารมณ์ปรมัตถ์ เอาเป็นว่าตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้มาก เกิดความลังเลสงสัย (วิจิกิจฉา) ก็แค่ดู แค่รู้ แล้วปล่อยวางพอ " ที่เกิดความสงสัยเพราะตามที่ดูจากประวัติของท่าน ก็เคยศึกษาอภิธรรมมาด้วย พอดีอาตมาก็เพิ่งเริ่มศึกษาอภิธรรมเลยสงสัยว่าในอภิธรรมชั้นที่สูงขึ้นไป มีกล่าวถึงเรื่องตายแล้วฟื้นไหม เพราะในพระสูตรที่เคยเจอเห็นมีแต่กล่าวว่า เมื่อสัตว์ตายลงก็ไปเกิดในอัตตภาพในทันที
ขอเจริญพร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตายแล้วเกิดทันทีสำหรับผู้ที่มีกิเลสอยู่ครับ แต่ไม่ใช่ตายแล้วฟื้น ดังนั้นถ้าฟื้นขึ้น แสดงว่าไม่ได้ตายไป เพียงอาจสลบ ไม่รู้สึกตัวก็ได้ครับ จึงสำคัญว่าตายแล้วฟื้น ซึ่งขณะนั้น ก็อาจมีการคิดนึกสลับก็ได้ คิดนึกในเรื่องราวต่างๆ ว่าเห็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ จึงไม่ต่างจากความฝันที่มาจากการคิดนึก และก็พอตื่นขึ้นจากความฝัน ก็เหมือนได้เห็นได้ยินเรื่องราวต่างๆ และก็สามารถมาเล่าได้ ดังนั้น เพราะวิถีจิตเกิดดับเร็วมาก เพราะฉะนั้น ขณะที่สลบหรือไม่รู้สึกตัว ก็อาจจะมีการคิดนึกสลับอย่างรวดเร็ว ซึ่งยังไม่ตายจากความเป็นบุคคลนั้น จึงฟื้นขึ้นได้ครับ เพราะฉะนั้น ถ้าจุติจิตเกิดจริง (ตาย) ตามสภาพธรรมที่เป็นเหตุปัจจัย ที่ต้องเกิดต่อที่ยังมีกิเลส ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที แสดงว่าเมื่อตายแล้วจะต้องเกิดทันทีครับ จึงไม่ใช่ตายแล้วฟื้นเลย ส่วนที่กำลังสลบไปและไม่รู้สึก บางครั้งก็สลับกับภวังคจิต แต่ขณะที่เป็นภวังคจิต ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจเลยครับ จึงไม่มีการคิดนึกใดๆ ทั้งสิ้น แต่ขณะที่จำเรื่องราวต่างๆ ได้ว่าไปทำอะไรมา นั่นแสดงว่าเป็นความคิดนึกสลับในขณะที่ไม่รู้สึกตัวที่คิดผิดว่าตายครับ ขณะที่คิดนึกจึงจำเรื่องราวต่างๆ และก็พอรู้สึกตัว ฟื้นก็เลยจำได้ว่าทำอะไรมา เป็นต้น ดังนั้น จึงไม่ใช่ตายแล้วฟื้นครับ
"สัตว์ทั้งหลาย ผู้เกิดแล้ว จะไม่ตาด้วยความพยายามอันใด ความพยายามอันนั้นไม่มีเลย แม้อยู่ได้ถึงชราก็ต้องตาย เพราะสัตว์ทั้งหลาย มีความเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดา"
[อ้างอิงจาก ... สัลลสูตร พระสุตตันตปิฎก ขุททนิกาย สุตตนิบาต]---------------------------
แต่ละบุคคลที่เกิดมา ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครหลีกพ้นได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะตายช้าหรือตายเร็วเท่านั้น ตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เป็นบุคคลใหม่ในภพใหม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นของกรรมใดที่นำเกิด ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ โดยไม่มีใครทำให้เลย เป็นไปตามกรรมที่ตนได้กระทำไว้แล้วเท่านั้นจริงๆ เมื่อเห็นคนอื่นตาย ก็ควรน้อมเข้ามาในตนว่าในที่สุดตนเองก็จะต้องตายเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าคนอื่นตายแต่ตัวเองไม่ตาย เพราะแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีใครรอดพ้นไปได้แม้แต่คนเดียว
ดังนั้น ในเมื่อทุกคนต้องตายอย่างแน่นอน จึงควรพิจารณาอยู่เสมอว่า ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราควรทำอะไรบ้าง ซึ่งจะเป็นที่พึ่งสำหรับตนเองอย่างแท้จริง การละอกุศลกรรม แล้วเจริญกุศลบ่อยๆ เนืองๆ ตามกำลังของตนและไม่ละเลยในการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมให้เข้าใจเพื่อน้อมประพฤติปฏิบัติตามนั้น เป็นความดีที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งนี้เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตายแล้ว ไม่ฟื้น ถ้าฟื้น คือ ยังไม่ตาย เพราะตามความเป็นจริงแล้วชีวิตคือความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตแต่ละขณะ สำหรับในภพนี้ชาตินี้ จิตขณะแรก คือ ปฏิสนธิจิต และจิตขณะสุดท้าย คือ จุติจิต เมื่อจุติจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไป คือ ปฏิสนธิจิต เกิดขึ้นทันทีโดยไม่มีจิตอื่นคั่น ส่วนจะไปเกิดเป็นอะไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นผลของกรรมอะไร กล่าวคือ
ถ้ากรรมดีให้ผล ย่อมทำให้เกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เกิดในสวรรค์ ในทางตรงกันข้าม ถ้ากรรมชั่วให้ผล ก็ทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย หรือ สัตว์เดรัจฉาน ตามสมควรแก่อกุศลกรรม ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรก็ตาม สังสารวัฏฏ์ยังต้องดำเนินต่อไป มีจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) , เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) , รูป เกิดขึ้นเป็นไป
ความตาย เป็นสัจจธรรมที่ทุกคนจะต้องพบ ไม่มีใครรอดพ้นไปได้แม้แต่คนเดียว ไหนๆ ก็จะต้องตายอยู่แล้ว ชีวิตที่มีอยู่นี้ ควรจะดำเนินไปอย่างไร จึงจะถูกต้องดีงาม? จะเห็นได้ว่า ความดีที่ได้สะสมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญา ที่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้งในชีวิตประจำวันนั้น ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ และจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต จนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่ต้องมีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เมื่อไม่มีการเกิด ก็ไม่มีการตาย ไม่ต้องประสบกับทุกข์ใดๆ อีกเลย ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ ว่าเรามีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นของธรรมดา ไม่สามารถล่วงพ้นไปได้ ถ้าตายแล้วเกิดทันที ตายแล้วฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น แม้พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้เลิศที่สุดในโลกก็ยังปรินิพพานเลย ค่ะ
ทุกสรรพสิ่งเกิดแล้วต้องดับ หลายท่านติดในอภินิหาร ตายหลอกแล้วมาบอกว่าตายจริง บางท่านสลบไป ถ้าตายจริงก็เอาไปวัดแล้ว แสดงว่ามีลมหายใจอยู่ จึงรอไว้ก่อน ต้องพิจารณาธรรมทั้งหมด ที่ได้ยินได้ฟังมา จึงเรียกว่าโยนิโสมนสิการะ ถ้าไม่ ก็เรียกว่าอโยนิโสมนสิการะ
สาธุ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน นะคะ
ด้วยความเคารพและขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
จากใหญ่ราชบุรี – ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี
เรื่องตายแล้วฟื้นยังเป็นความเชื่อที่คนทุกยุคทุกสมัยยังเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่ถ้าได้ศึกษาพระธรรมแล้ว ก็เป็นไปตามที่ท่านวิทยากรให้ความรู้และความกระจ่างตามพระไตรปิฎก แต่ด้วยมิจฉาทิฏฐิ ก็ยากที่จะลบเลือนความเชื่อดังกล่าวได้ ขอให้ทุกท่านที่ยังไม่ได้ศึกษาพระธรรมหมั่นหาโอกาสศึกษาพระธรรมและฟังธรรมเนืองๆ บ่อยๆ ครับ แล้วจะเกิดปัญญาเองครับ
ขออนุโมทนาครับ