ใจไม่เป็นสุข
ทำอย่างไรใจถึงจะเป็นสุขได้
ทำอย่างไรถึงจะพ้นคำนินทา
เรื่องมีอยู่ว่า รับงานบัญชีมาทำ แยกงานออกเป็นงานบัญชี กับงานขอคืนภาษี งานขอคืนภาษีตกลงค่าจ้างกับลูกค้าด้วยวาจา เมื่อขอคืนได้ กลับโดนลูกค้าเบี้ยวค่าจ้าง
ตกลงกับสามีว่า จะทำงานให้เขาจนจบรอบของบัญชี คือ 1 ปี ไม่อยากทิ้งงานระหว่างปี พอครบปี ลูกค้ามาพูดดีด้วย ก็เลยตัดสินใจเริ่มต้นการทำงานกันใหม่ แต่ก็อึดอัดใจมาก เพราะข้อมูลที่รับทราบมาใหม่ (ขอไม่อธิบาย)
แต่รับปากทำต่อไปแล้ว ก็ต้องก้มหน้าทำไป แต่ทำไปได้เพียง แค่เพียง 5 เดือน ลูกค้าก็แสดงความกลัวว่าเราจะกลั่นแกล้ง เพราะเขาเบี้ยวค่าขอคืนภาษี พูดจาไม่ดีกับเรา และโกหก ไม่ยอมรับความผิดที่ตนเองทำ เราเจตนาดี ชี้แจงให้เขาฟัง เพื่อถึงแม้เลิกทำไป ก็ยังคงคบกันเป็นเพื่อนได้ แต่เขาก็ยังคงพูดใส่ร้ายเรากับสามีอยู่เนืองๆ จึงหมดความอดทน ตัดสินใจเลิกการทำงานกับเขา เพราะทำไปถึงสิ้นปี ก็ต้องโดนเขาหวาดระแวงว่าจะกลั่นแกล้งอีก และต้องไปฟังคำพูดร้ายๆ จากปากเขาอีก เลิกการทำงานแล้ว ไม่อยากติดต่อด้วยเลย แต่เขาเป็นภรรยาของเพื่อนของสามี สามีต้องถูกเขารบกวนตลอด เพราะการทิ้งงานระหว่างปี บัญชีเจ้าใหม่ จะคิดค่าทำบัญชี 12 เดือน (แม้เราจะมีทำไปแล้ว 5 เดือน) บัญชีเจ้าใหม่ให้เหตุผลกับลูกค้าว่า เราให้เอกสารขาด ลูกค้าพยายามขอเอกสารมากมายจากดิฉัน ดิฉันรู้ดีแก่ใจว่า ถึงให้เอกสารไปเท่าใด บัญชีเจ้าใหม่ ก็จะไม่เอาไปใช้งานอยู่ดี (อันนี้ไม่ขออธิบาย) สามีอธิบายลูกค้า เขาก็ไม่เชื่อ เขาเชื่อบัญชีเจ้าใหม่มากกว่าอยู่ดี เพราะความอคติในใจเขา ยังคงคิดว่าเรากลั่นแกล้งอยู่ดี
อยากรบกวนขอคำแนะนำ ชี้ทางสว่าง ให้หลุดพ้นจากความทุกข์นี้เสียที
1. ทำอย่างไร ถึงใจจะเป็นสุขได้
2. ต้องอดทน นั่งทำเอกสารให้เขาไป แล้วท้ายสุดเขาก็ใช้ไม่ได้ และก็เสียเวลาเรา เพราะ
งานยุ่งมาก ยังต้องมาทำเอกสารเพิ่มอีก และท้ายสุดก็ต้องโดนใส่ร้ายอีกว่า ทำให้เขา ต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะทิ้งงาน หรือไม่ทำเอกสารให้ เพราะถึงอย่างไร เขาก็ต้องว่าเรา
ทิ้งงานอยู่ดี ใจไม่อยากอดทนแล้ว เพราะทนมาตั้งแต่ พ.ย. 56 จนถึง พ.ค.57 เพื่อให้ งานเสร็จครั้งหนึ่งแล้วผลที่ได้รับคือ เขาคิดว่าเราเป็นฝ่ายพึ่งเขา เขาให้งานเราทำ และ ยังคิดว่าเรากลั่นแกล้ง ทั้งที่ยังไม่ได้แกล้งเขาเลย ความอดทนหมดสิ้นแล้ว บางครั้งใจคิดอยากจะแกล้งเขาจริงๆ แต่สามีรั้งไว้ ได้แต่ต้องอดทน อดกลั้น คิดถึงเรื่องนี้ทีไร กลั้นน้ำตาไม่อยู่ทุกคราว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความสุขและความทุกข์เป็นสภาพธรรมที่มีจริง โดยสภาพธรรมคือเวทนาเจตสิกที่เป็นความรู้สึก สุข ทุกข์ ซึ่งเวทนาแบ่งได้ดังนี้ครับ คือโสมนัสเวทนา สุขเวทนา อุเบกขาเวทนา โทมนัสเวทนา และทุกขเวทนา สำหรับโสมนัสเวทนาเป็นความรู้สึกสุขทางใจครับ เช่น เวลาดีใจ ขณะนั้นมีโสมนัสเวทนา สุขเวทนาคือความรู้สึกสุขทางกาย เช่น ได้กระทบสัมผัสสิ่งที่ดีทางกาย มีความรู้สึกสุขเวทนาทางกายเกิดขึ้น อุเบกขาเวทนาคือความรู้สึกที่เกิดที่ใจ ที่รู้สึกเฉยๆ ไม่สุขและไม่ทุกข์ครับ โทมนัสเวทนาคือความรู้สึกทุกข์ใจ เช่น เศร้าใจ เสียใจ เป็นเวทนาเจตสิกที่เป็นโทมนัสเวทนาครับ ทุกขเวทนาคือความรู้สึกทางกายที่ไม่ดี ที่เป็นทุกข์ เช่น กระทบสัมผัสสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าสัมผัส ขณะที่เจ็บ ที่ปวด ขณะนั้นเป็นความรู้สึกทุกขเวทนาครับ ส่วนความรู้สึกสุขและทุกข์เกิดขึ้นได้เพราะมีสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้น คือ เพราะมี จิต เจตสิก และรูป หรือ มีขันธ์ 5 จึงทำให้เกิดความรู้สึกสุขและทุกข์ได้ครับ
ดังนั้นความรู้สึกที่เป็นเวทนาจึงแบ่งเป็นเวทนาทางกายและเวทนาทางใจครับ ดังนั้นเพราะมีสภาพธรรมเกิดขึ้น จึงมีสุขและทุกข์เกิดขึ้นครับ เพราะยังมีกิเลส ก็ทำให้เกิดความรู้สึกทุกข์ใจที่เป็นโทมนัสเวทนาได้ เช่น เศร้าใจ เสียใจ เพราะยังมีกิเลสคือโทสะ จึงเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ใจ เพราะมีผลของกรรมที่ทำมาไม่ดี ก็เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์กาย ได้รับความเจ็บปวด เช่น พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ก็ต้องป่วย ได้รับความเจ็บเพราะผลของกรรมเก่าทำให้พระองค์เกิดทุกข์กายครับ แต่พระองค์ไม่มีทุกข์ใจเพราะดับกิเลสแล้วครับ ส่วนความรู้สึกสุขใจเกิดได้เพราะยังมีขันธ์ 5 ส่วนความรู้สึกทางกายที่เป็นสุขกายทางกาย เกิดจากการได้รับผลของกรรมที่ดี คือการทำกุศลกรรมไว้ เมื่อเหตุพร้อมก็ทำให้ได้รับวิบากที่ดีทางกาย ทำให้เกิดสุขเวทนาที่เกิดทางกายครับ สรุปคือ สุขและทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นสุขกาย สุขใจ และทุกข์กาย ทุกข์ใจเกิดขึ้นได้ มีได้ เพราะมีการเกิด เมื่อมีการเกิด ก็มีขันธ์ 5 ก็ทำให้มีความรู้สึกสุขและทุกข์ได้ครับ ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ก็จะไม่มีสุขและทุกข์เกิดขึ้นเลยครับ สมดังที่ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า สุขและทุกข์เกิดขึ้นมีได้เพราะอาศัยการเกิดนั่นเองครับ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกปรารถนาความสุข แต่เกลียดความทุกข์ แต่ไม่รู้ว่าเหตุแห่งทุกข์มาจากการเกิดและมาจากกิเลสที่มีในจิต เพราะฉะนั้นจะทำให้มีความสุขได้อย่างไร ถ้ายังมากด้วยกิเลส หนทางให้ได้ความสุขที่ประเสริฐที่ไม่ใช่ความสุขที่ได้จากรูป เสียง กลิ่น รสที่ดี คือ ความสุขที่ปราศจากกิเลสอันเกิดจากกุศล ที่มีความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้น ปัญญา ความเห็นถูกที่มาจากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ย่อมเป็นหนทางแห่งความสุขที่แท้จริง ครับ
ดังนั้นแทนที่จะทำยังไงให้มีความสุข ไม่ทุกข์ในชีวิตประจำวัน ก็ทำไม่ได้เลย ก็ต้องทุกข์ แต่เมื่อรู้ว่าทุกข์แล้ว คำถามที่น่าคิดคือจะสนใจศึกษาพระธรรมหรือไม่ หรือเพียงแค่ไม่ทุกข์ใจชั่วคราว แต่สุดท้ายก็ทุกข์ใจอีก จะเลือกในหนทางใด ซึ่งก็ตามแต่ใจของสัตว์โลกที่สะสมมาต่างกันครับ
ธรรมเท่านั้นจะชำระล้างความทุกข์ที่มาจากกิเลสได้ในที่สุด
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นธรรมดาของชีวิตจริงๆ ที่มีสุขบ้าง มีทุกข์บ้าง ซึ่งก็เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น สำหรับทุกข์แล้ว ทุกข์กายก็มี ทุกข์ใจก็มี ทุกข์กายมาจากผลของอกุศลกรรม ส่วนในเรื่องของทุกข์ใจ เป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของอกุศลธรรมที่เกิดขึ้น ทำให้ใจไม่เป็นสุข เพราะถูกกลุ้มรุมด้วยกิเลสทั้งหลาย ซึ่งเป็นธรรมดาจริงๆ ของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่
เป็นที่น่าพิจารณาว่า ส่วนใหญ่มักจะมองว่าคนอื่นทำให้เราทุกข์ เราทุกข์เพราะคนอื่น แท้ที่จริงลึกๆ แล้ว คือการสะสมกิเลสของเราเอง เป็นเพราะกิเลสของเราเองจริงๆ เราอาจจะคิดว่าคนนั้นทำให้เราทุกข์ เราทุกข์เพราะคนอื่นทำให้เราทุกข์ แต่ทั้งหมดต้องมาจากเหตุ คือการสะสมอกุศลของตนเอง ดังนั้นการแก้ก็ต้องแก้ที่ตรงนี้คือ แก้ที่ตนเอง ด้วยการเริ่มสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกจากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการที่จะดำเนินไปถึงซึ่งการดับทุกข์ได้ในที่สุด ขณะที่เข้าใจ ธรรมฝ่ายดี มี สติ ปัญญา เป็นต้น เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ขณะนั้นจะไม่ทุกข์ใจ เพราะขณะนั้นเป็นกุศล ไม่มีทางที่อกุศลจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าไม่เริ่ม ณ ขณะนี้ ไม่มีทางที่จะพ้นจากทุกข์ไปได้เลยครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ..
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ และท่านวิทยากรทุกท่านค่ะ จริงๆ แล้วเป็นตัวตนกันมาก ยึดมั่นตลอดเวลา ที่เรียนมาหรือฟังมาเป็นโมฆะหมด เพราะมีตัวตนที่จะทำอย่างไร ก็บอกแล้วอย่างไงว่าทำอะไรไม่ได้ แต่ค่อยๆ รู้ตามได้ และค่อยๆ อบรมความเข้าใจถูกได้ ใจร้อนอยากรู้เร็วๆ เหมือนปวดหัวเลยหายากิน พอหายแล้ว ก็ไม่สนใจยาอีกต่อไป นี่แหละความเป็นปัจจตังจริงๆ กราบอนุโมทนาสาธุค่ะท่านอาจารย์ทั้งสอง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ